TOP วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน

113

ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)

ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส และเบรนท์ปรับตัวลดลง 1% หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ จากการประชุมเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ธนาคารยืนยันว่า อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้ไปอยู่ที่ระดับ 5.50% – 5.75% ส่งผลให้ตลาดน้ำมันยังได้รับแรงกดดันต่อเนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ก.ย. 66 ปรับลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 418.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งปรับลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ว่าจะปรับลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล

+/- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มหยุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัว โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษประจำเดือน ส.ค.66 ปรับตัวลดลง 0.1 % เทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 6.7 %  ซึ่งต่ำสุดในรอบ 18 เดือน

ราคาน้ำมันเบนซิน : ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปทานน้ำมันเบนซินจากจีนและไต้หวัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจาก ราคาเอทานอลที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อุปสงค์น้ำมันเบนซินจากฟิลิปปินส์ปรับตัวลงลง หลังจากรัฐบาลกำหนดให้ผลิตน้ำมันเบนซิน โดยใช้เอทานอลผสม 10%

ราคาน้ำมันดีเซล : ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปทานจากจีนอาจลดลง เนื่องจากตลาดคาดว่าอุปสงค์ในประเทศจีนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากสต็อกน้ำมันดีเซลของท่าเรือฟูไจราห์ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 18 ก.ย. 66 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.7% สู่ระดับ 18.3 ล้านบาร์เรล

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon