มิติหุ้น – นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า หลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ทั้งในกระทรวงฯ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ จนถึงวันนี้ กระทรวงฯสามารถประสบผลสำเร็จในการดำเนินงานอย่างเข้มข้นสามารถแบ่งเป็น 9 ผลงานหลัก ดังนี้
- ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 แก้ปัญหาออนไลน์ สำหรับประชาชน ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามโจรออนไลน์ โดยมี War-room ภายใต้ AOC และ ใช้เทคโนโลยี พัฒนา Intelligent Assistant (IA) และ Intelligence based platform เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ ทำให้เกิดการรวบรวมเชื่อมโยงข้อมูล เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้พร้อมใช้งานในการป้องกัน ปราบปราม
- การปิดกันเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย และเว็บพนัน จัดการเว็บที่ผิดกฎหมาย รวมทุกประเภท สูงถึง 25,061 เว็บไซต์/เพจ เพิ่มขึ้น 10.0 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปิดได้ 2,567 เว็บไซต์/เพจ โดยเน้นทำงานเชิงรุก ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ทำให้ในช่วงเวลา 1 ต.ค. – 10 ธ.ค. 2566 มีการปิดกั้นเว็บพนันออนไลน์ ถึง 4,592 เว็บไซต์ เพิ่มขึ้น 17.5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปิดได้ 248 เว็บไซต์
- การแก้ปัญหาการซื้อขายข้อมูลและการหลุดรั่วของข้อมูลประชาชน เร่งดำเนินการ 6 มาตรการ เพื่อแก้ปัญหาการหลุดรั่ว ของข้อมูลประชาชน ตลอดจนการซื้อขายข้อมูลประชาชน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC Eagle Eye เร่งตรวจสอบเฝ้าระวัง การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล และให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ตรวจสอบช่องโหว่ ระบบ cybersecurity หรือระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล โในช่วง 9 พ.ย. – 9 ธค 66
รวมถึงให้ สคส. และ สกมช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเครือข่ายภาคสื่อมวลชนสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมเร่งรัดปิดกั้นการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลที่ผิดกฎหมาย และดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิด อีกทั้งส่งเสริมการใช้งานระบบคลาวด์กลางภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงปลอดภัยตามหลักวิชาการสากล และปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทันสมัยต่อบริบทของสังคมและเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ดียิ่งขึ้น
4. การแก้ปัญหาซิมม้า ผ่าน 6 มาตรการเชิงรุก ได้แก่
1) กำหนดให้ผู้ใช้บริการมีการถือครองซิมเกิน 5 ซิม ต่อผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ จะต้องมีการมายืนยันตัวตนภายใน 30 วัน
2) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ให้ดำเนินการตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ที่ผิดปกติ ที่มีการโทรออกตั้งแต่ 100 สายต่อวัน ส่งข้อมูล AOC 1441 ทำการระงับการใช้งาน
3) เร่งระงับเบอร์ และขยายผล สืบสวนสอบสวน ดำเนินคดี จากเบอร์ และชื่อเจ้าของเบอร์ ที่ได้จาก (1) การแจ้งความออนไลน์ (Thaipoliceonline.com) (2) เบอร์ที่รับแจ้งกับ AOC 1441 (3) เบอร์ที่ผู้ให้บริการสื่อสาร ตรวจพบเอง จากระบบ fraud detection และจาก สนง กสทช. และ (4) เบอร์ที่ต้องสงสัย อาทิ เบอร์ที่ใช้กับอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ (SIM BOX) หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้กระทำผิด เป็นต้น
4) ให้แจ้งข้อมูลการโทรที่ผิดปกติ ต่อ ศูนย์ AOC 1441 และ ระบบ Audit numbering ของ สนง.กสทช เพื่อให้เป็นศูนย์กลางรวมรวมข้อมูล
5) ดำเนินการตรวจสอบ หมายเลขโทรศัพท์/เสาสัญญาณ และการตั้งสถานีแพร่กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบให้ดำเนินการระงับสัญญาณทันที
6) ดำเนินการกำกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการให้บริการนอกราชอาณาจักรไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากตรวจสอบพบก็จะให้มีการแก้ไขปรับเปลี่ยนทิศทางการแพร่สัญญาณ
5. การดึงการลงทุนและพัฒนากำลังคนด้าน AI และ Cloud ดึงการลงทุนและพัฒนากำลังคนดิจิทัล โดยเฉพาะด้าน AI และ Cloud โดยความร่วมมือกับบริษัทระดับโลก และประเมินว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 300,000 ล้านบาท ทั้งจากการลงทุนและพัฒนาบุคคลากรในระยะ 5 ปี จากความร่วมมือ 3 บริษัท
- Huawei : ได้ร่วมมือการตั้งศูนย์เพื่อพัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ผลิตคนด้าน AI และ Cloud ปีละ 10,000 คนหรือ 50,000 คน ในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ผู้ที่มีทักษะ AI & Cloud จำนวนกว่า 60,000 ล้านบาท แก้ปัญหาขาดแคลนบุคคลากรด้าน AI และ Cloud
- Google มีความร่วมมือกับดีอีจะสร้างผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ภาคธุรกิจไทยกว่า 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Google และดีอีจะร่วมกันศึกษาแนวทางการใช้ Generative AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Google Cloud
- Microsoft : นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมพบปะหารือกับไมโครซอฟท์เพื่อร่วมพูดคุยถึงจุดประสงค์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สอดคล้องกับนโยบาย
ด้านรัฐบาลดิจิทัล และการใช้บริการระบบคลาวด์ภาครัฐ หรือ Cloud First เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำ AI มาใช้งานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ รวมถึงยกระดับทักษะแห่งอนาคตสำหรับคนไทยกว่า 10 ล้านคน ผ่านทางความร่วมมือกับดศ.
6. “ชุมชนโดรนใจ” One Tambon One Digital (OTOD) ชุมชนโดรนใจ เริ่ม พย 2566 มีเป้าหมายดำเนินการครบ 500 ชุมชน ใน ตค 2567 ประยุกต์ใช้โดรนเพื่อการเกษตร ให้บริการกว่า 4 ล้านไร่ทั่วประเทศ เกิดการยกระดับทักษะเกษตรกรกว่า 1,000 คน เกิดธุรกิจบริการโดรน 50 ชุมชน เกิดอาชีพใหม่ช่างโดรนชุมชน และเกิดศูนย์สอบอนุญาติการบินโดรน 5 ภูมิภาค และ เกิดมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาท
ผลการดำเนินงาน
- อยู่ระหว่างการรับสมัคร ซึ่งมีชุมชนให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมแล้ว 300 ชุมชน และ 63 ศูนย์ซ่อม
- ระหว่างจัดตั้งศูนย์สอบขอใบอนุญาตการบินโดรน 5 ศูนย์ทั่วประเทศ
- เกิดมาตรฐาน dSURE สำหรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล
7. Global Digital Talent โดยดีอี โดย ดีป้า ได้ผลักดันให้มีกลไกในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัลให้กับภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ของประเทศผ่านการนำเข้ากำลังคนจากต่างประเทศผ่านการตรวจลงตรารูปแบบใหม่ Global Digital Talent Visa (GDT Visa) ซึ่งมีเป้าหมายในการดึงดูดกำลังคน 2 ประเภท ได้แก่
1) กำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลนโดยเป็นผู้ที่จบการศึกษา รวมถึงผู้ที่กำลังศึกษาด้านดิจิทัลจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 600 แห่งทั่วโลกที่ได้รับการรับรอง (Digital Talent)
2) ผู้ที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเป็นหลักในอุตสาหกรรมดิจิทัล และสามารถทำงานได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ (Digital Nomads)
โดยชาวต่างชาติที่ได้รับ GDT Visa จะได้สิทธิในการพำนัก และสิทธิทำงานพร้อมวีซ่าเป็นระยะเวลา 1 ปี สามารถให้คู่สมรสและบุตรได้รับวีซ่าผู้ติดตามไปพร้อมกันได้ สามารถเดินทางเข้าและออกประเทศไทยได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง (Re-Entry permit) ได้รับสิทธิให้ใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track) ในการเข้าออกราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศที่มีให้บริการช่องทางพิเศษ ซึ่งชาวต่างชาติที่จะได้รับ GDT Visa จะต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติตามที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกำหนด
ดีป้า ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกร่างประกาศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงรายละเอียดหลักเกณฑ์ เพื่อจัดทำเอกสารแนวทางการดึงดูดกำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย (Global Digital Talent Visa) และเอกสารที่เกี่ยวข้องประกอบการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามมาตรา 4 (12) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
8. การสนับสนุน Start Ups และ SMEs ด้วยบัญชีบริการดิจิทัลและมาตรการทางภาษี โดยดำเนินการทางบัญชีบริการดิจิทัล เพื่อเป็นตัวช่วยในการคัดกรองสินค้าและบริการดิจิทัลที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผล อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มองหาสินค้าหรือบริการดิจิทัล พร้อมเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการดิจิทัลไทยในการเข้าสู่ตลาดภาครัฐ ซึ่งปัจจุบัน มีสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลแล้วทั้งสิ้น 132 รายการ จากผู้ประกอบการดิจิทัลไทย 13 บริษัท
รวมถึงผลักดันมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล หรือ Tax 200%
9. การยกระดับ Thailand Digital Competitiveness Ranking ดีอี ขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ส่งผลให้ การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยในปี 2566 หรือ Thailand Digital Competitiveness Ranking 2023 ดีขึ้น 5 อันดับ โดยไทยอยู่อันดับที่ 35 ในปี 2023 จากเดิม อันดับที่ 40 ใน ปี 2022ดีอี ขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ส่งผลให้ การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยในปี 2566 หรือ Thailand Digital Competitiveness Ranking 2023 ดีขึ้น 5 อันดับ โดยไทยอยู่อันดับที่ 35 ในปี 2023 จากเดิม อันดับที่ 40 ใน ปี 2022
ทั้งนี้ รัฐมนตรี ประเสริฐฯ ตั้งเป้าหมายว่า อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทย จะต้องอยู่ใน 30 อันดับแรกของโลกภายในปี 2569 นี้
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon