มิติหุ้น – ที่มูลนิธิณัฐภูมิ ตำบลนิคมพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง บริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน ) หรือ TKC ร่วมกับมูลนิธิณัฐภูมิ จัดพิธีมอบใบเกียรติบัตรแก่เกษตรกร ที่เข้าอบรมโครงการ “ปั้น Mr & Miss IoT เกษตรกรอัจฉริยะ” หนึ่งในกิจกรรมของโครงการสมาร์ตฟาร์มมิ่ง ( Smart Farming ) ซึ่งเป็นโครงการนำร่องให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งาน IoT หรืออินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง ( Internet of Things ) และการใช้อุปกรณ์ ( Workshop ) เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ในการเพาะปลูก หรือทำเกษตรกรรมอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับผู้เข้ารับการอบรมครั้งนี้ถือเป็นเกษตรกรอัจฉริยะรุ่นแรกของโครงการ
สำหรับโครงการ “ปั้น Mr & Miss IoT เกษตรกรอัจฉริยะ” เป็นการอบรมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี IoT แก่เกษตรกรเพื่อนำไปใช้ในการเพาะปลูกได้ด้วยตัวเอง เช่น ระบบควบคุมการจ่ายน้ำ และปุ๋ยอัตโนมัติในโรงเรือนเพาะปลูก การใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ การใช้โดรน ( drone ) หว่านเมล็ดพืชและปุ๋ย เป็นต้น
โครงการนี้เป็นการพัฒนาต่อยอดจากระยะแรกที่ดำเนินการไปแล้วเมื่อปี 2563 โดยเปิดรับสมัครเกษตรกรในหมู่บ้าน และสมาชิกของมูลนิธิณัฐภูมิ รวมทั้งจากกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ เช่น กลุ่มฮักน้ำจาง อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เข้ารับการอบรมเรียนรู้เทคโนโลยี IoT และการใช้อุปกรณ์แบบง่าย ๆ รวมทั้งภาคปฏิบัติให้ลงมือทำด้วยตัวเอง จนสามารถใช้งานได้จริง โดยใช้ระยะเวลาในการอบรม 2 วัน โดยผู้ผ่านการ อบรมจะได้รับใบเกียรติบัตรจากโครงการฯ ส่วนความรู้ที่ได้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่เพาะปลูกของตนเอง อาทิ ช่วยแก้ไขปัญหาลดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้พืชผักผลไม้ปลอดสารพิษ ทั้งยังช่วยลดต้นทุน ลดการใช้แรงงานคน และเพิ่มผลผลิตด้วย
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการขยายความรู้ในวงกว้าง ยังได้คัดเลือกผู้ที่มีความโดดเด่นในการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี จำนวน 3 คน ปั้นให้เป็น “Mr & Miss IoT เกษตรกรอัจฉริยะ” เพื่อเป็นต้นแบบถ่ายทอดการใช้เทคโนโลยี IoT ให้แก่เกษตรกรคนอื่น ๆ ต่อไป สำหรับ Mr & Miss IoT เกษตรกรอัจฉริยะ ทั้ง 3 คนนี้จะได้รับอุปกรณ์ IoT นำไปใช้ในการเพาะปลูกพืชผักที่บ้านของตัวเอง เพื่อให้เห็นผลอย่างแท้จริง
นายสยาม เตียวตรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด ( มหาชน ) ให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากที่ TKC ได้เข้าร่วมงานกับมูลนิธิณัฐภูมิ โดยนำเทคโนโลยี และวิชาการสมัยใหม่เข้าไปให้เกษตรกรสมาชิกของมูลนิธิฯ ใช้ในการเพาะปลูก ซึ่งเป้าหมายของ TKC คือความยั่งยืนใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.นำเทคโนโลยีมาช่วยทำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 2.นำเทคโนโลยีมาแก้ไข และพัฒนากระบวนการทำงานของเกษตรกร 3.เกษตรกรต้องมีต้นทุนในการทำเกษตรที่ลดลง และต้องมีรายได้มากขึ้น
“ที่ผ่านมาเราได้ทำโครงการะยะที่ 1 ไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน โดยเริ่มจากการสร้างระบบน้ำหยดสำหรับปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด ช่วงแรก ๆ ใช้น้ำจากบ่อน้ำของมูลนิธิฯ ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงทำได้เพียงเป็นต้นแบบในพื้นที่สาธิตการเกษตรเพื่อการประหยัดน้ำ นอกจากนี้ได้เริ่มทดสอบการนำโดรนมาใช้ในการเกษตรปลูกข้าวนาแปลงใหญ่ด้วย”
นายสยาม กล่าวว่า สำหรับปีนี้เป็นระยะที่ 2 ทาง TKC ได้พัฒนาต่อยอดให้เกษตรกรสามารถใช้เทคโนโลยีได้ด้วยตัวเอง โดยจัดเป็นโครงการนำร่อง อบรมเกษตรกร รุ่นแรก 30 คน หลังผ่านการอบรมแล้ว เกษตรกรเหล่านี้จะมีความรู้และใช้เทคโนโลยีเป็น สามารถนำกลับไปใช้ในพื้นที่เพาะปลูกของตนเองได้อย่างเป็นจริง สำหรับเกษตรกรอัจฉริยะ Mr & Miss IoT ที่คัดเลือกได้ 3 คนนี้ TKC จะมีทีมวิศวกร นักวิชาการของบริษัทเฝ้าติดตามและลงไปประเมินผลการใช้เทคโนโลยีถึงบ้านอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าเมื่อคนเหล่านี้มีความรู้ก็จะสามารถถ่ายทอดให้กับเกษตรกรคนอื่น ๆ ต่อไปได้
นายสยาม กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันทางมูลนิธิณัฐภูมิพัฒนาพื้นที่ค่อนข้างมาก รวมถึงขยายแหล่งน้ำ และพื้นที่สาธิตการเกษตร ดังนั้น เราจึงเริ่มแนวคิดในการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงขึ้น มีการใช้วิธีควบคุมการเพาะปลูกในโรงเรือน ได้ไปช่วยออกแบบระบบ ควบคุมอัตโนมัติเป็นโรงเรือนเพาะปลูกอัจฉริยะ ( smart greenhouse ) โดยมีการนำเอาเทคโนโลยี IoT ที่จะสามารถตรวจสอบปัจจัยต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมในการปลูกพืช เช่น ความชื้นในดิน ในอากาศ อุณหภูมิ แล้วนำค่าที่ได้เหล่านี้กลับมาป้อนในระบบอัตโนมัติที่สร้างขึ้น โดยระบบนี้จะควบคุมการจ่ายปุ๋ย และน้ำให้กับแต่ละโรงเรือน ทั้งหมดนี้ได้ติดตั้งให้กับมูลนิธิฯ จำนวน 24 โรงเรือน แต่ละโรงเรือนสามารถที่จะควบคุมการให้น้ำในแต่ละโรงเรือน และชนิดของพืชที่ต่างกันได้ รวมทั้งสามารถกำหนดเงื่อนไขในการให้น้ำได้อย่างพอเหมาะตามสภาพอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นที่เกิดขึ้น ทำให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดีใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ เราพยายามช่วยมูลนิธิลดค่าใช้จ่าย รวมถึงส่งเสริมให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการสนับสนุน และติดตั้งระบบโซล่าร์เซล จำนวน 20kW ภายในมูลนิธิ รวมทั้งใช้กับโรงเรือนอัจฉริยะ และพื้นที่แปลงอื่นของมูลนิธิที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง รวมทั้งได้นำเอาระบบโซล่าร์เซลขนาด 3.9 กิโลวัตต์ ไปติดให้กับโรงสูบน้ำ 2 จุด เพื่อให้มีน้ำเพียงพอในการทำการเกษตรในพื้นที่แปลงที่สี่ของมูลนิธิฯ ด้วย
นายสยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเฟสถัดไป TKC หวังที่จะได้เข้าถึงกลุ่มชาวบ้านในชุมชนมากขึ้น เพื่อให้ทราบปัญหาเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นในชุมชน เรากำลังจะมีฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ชุดใหม่ที่มีการนำเอาเทคโนโลยีปัญญาอัจฉริยะหรือ AI ( Artificial Intelligence ) มาใช้ด้วยสำหรับเกษตรกร ในการเลือกตัดสินใจในการดำเนินการปลูกพืชที่เหมาะสม และยังมีความคิดที่จะทำอุปกรณ์ หรือแพลตฟอร์มรองรับการใช้ในระบบการเกษตรอื่น ๆ นอกเหนือจากระบบโรงเรือน เช่น นำระบบที่ TKC สร้างไปใช้ในงานด้านประมงหรือการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ หากสำเร็จจะทำให้เกษตรกรมีข้อมูลที่ครบถ้วนช่วยให้การตัดสินใจเพาะปลูกดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น
“ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยพัฒนาระบบการทำงานให้แก่เกษตรกรได้ ทั้งการเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนได้จริง เพียงแต่ว่าเราต้องศึกษาให้เข้าใจกระบวนการและปัญหาที่แท้จริง โครงการนี้จะเป็นตัวอย่างในการนำร่อง ทำให้เห็นว่าเกษตรกรก็เรียนรู้เทคโนโลยีได้ ใช้เทคโนโลยีเป็น ต่อไปในอนาคต ถ้าเราประสบความสำเร็จในโครงการนำร่อง จะจัดอบรมคนให้มากขึ้นใหญ่ขึ้นเป็นหลักร้อยคน แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเฟสต่อไปจะขยายเข้าไปในหมู่บ้าน ให้มีปริมาณคนที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น มีผลดีต่อหมู่บ้านมากขึ้น สุดท้ายก็เป็นสมาร์ตวิลเลจ นอกจากมีสุขภาพที่ดีแล้ว ชาวบ้านยังมีรายได้เพิ่มจากการขายผลผลิต รวยขึ้น จับต้องได้จริง”
ด้านนายภูมิพันธ์ บุญญาปะมัย ประธานกรรมการบริษัท ทีเคไอ เพอร์เพชชวล จำกัด ในฐานะประธานผู้ก่อตั้งมูลนิธิณัฐภูมิ ให้สัมภาษณ์ว่ามูลนิธิณัฐภูมิลำปาง มุ่งมั่นและตั้งใจในการช่วยเหลือชุมชนชาวตำบลนิคมพัฒนา เพื่อพัฒนาชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงมุ่งเน้นส่งเสริมการสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้ชเกษตรกรในชุมชน เพื่อให้เกิดความสมดุลในทุกมิติ สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
“มูลนิธิฯ ได้ร่วมกับ TKC นำเอาความรู้และเทคโนโลยีมาส่งเสริมเพิ่มทักษะให้ชาวบ้านในด้านการเกษตร เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากการสร้างสุขภาพที่ดี พืชผักปลอดสารพิษ สร้างรายได้ให้มากขึ้นแล้ว มูลนิธิฯ ยังได้ช่วยเหลือผู้พิการและผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยการจ้างงานผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลาน ผู้พิการที่มีความสามารถ เด็กนักเรียนที่ไม่มีทุนการศึกษา ให้คนเหล่านั้นมาทำงานมีรายได้เลี้ยงดูตัวเอง ทั้งเวลานี้ได้ปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว 30 – 40% ของพื้นที่มูลนิธิฯ ทั้งหมด ซึ่งต่อไปในอนาคตสามารถทำเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชน”
“ไม่มีการให้ใดๆ ดีกว่าการให้ความรู้ อาชีพ ให้โอกาส ให้ความรู้ด้านสุขภาพ ให้ความยุติธรรม และให้สำคัญที่สุด คือให้ธรรมะ ให้มโนธรรมจริยธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งอภัยทาน ภูมิปัญญาไทยมีให้เรียนรู้ มาช่วยกันลดสารพิษในธรรมชาติ อยากให้บริษัทปุ๋ยเพิ่มสัดส่วนผลิตปุ๋ยอินทรีย์เข้าไปผสมกับปุ๋ยที่ใช้ในปัจจุบัน เพิ่มปีละ 5 – 15% หรือ 10 -30% ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกับครอบครัวเกษตรกร และผู้บริโภคชาวไทยและทั่วโลก แจกความรู้ วิชาชีพ วิชาชีวิตเครื่องมือหากิน เช่น เบ็ดตกปลาย่อมดีกว่าแจกปลา” นายภูมิพันธ์ กล่าว
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon