BTS – แรบบิท เพิ่มช่องทางชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสผ่าน WeChat Pay เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน

206

มิติหุ้น  –  นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในงาน “รถไฟฟ้าบีทีเอส – แรบบิท เปิดบริการรับชำระเงินค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสผ่านแอปพลิเคชัน WeChat Pay” ให้กับนักท่องเที่ยวจีน โดยผ่านระบบการชำระเงิน Rabbit Gateway ซึ่งเป็นระบบรับชำระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (E – Payment) เพื่อรองรับการชำระเงินของลูกค้า WeChat Pay และภายในงานได้รับเกียรติจาก นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และนางสาวนริศรา ศรีสันต์ ที่ปรึกษากลยุทธ์สื่อสารองค์กร บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายเคลวิน เหลียง กรรมการผู้จัดการบริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด (บีเอสเอส) และนายเบ็น หยาง กรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ WeChat Pay เข้าร่วมพิธี

 

โดยนักท่องเที่ยวจีน สามารถใช้แอปพลิเคชัน WeChat Pay ชำระค่าตั๋วโดยสารได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วโดยสารอัตโนมัติ ประเภทเดินทางเที่ยวเดียว บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว และสายสีทองทุกสถานี ซึ่งจะเพิ่ม
ความสะดวกสบายในด้านการบริการ และยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทย สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจีนแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐบาล ในการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น ตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ว่าในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 ล้านคน จากในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 3.4-3.5 ล้านคนและจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ขอขอบคุณ
ทางบีทีเอส, แรบบิท และWeChat Pay ที่ได้ร่วมกันพัฒนาระบบนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางการชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสให้กับนักท่องเที่ยวจีน เชื่อว่าระบบนี้จะเพิ่มความสะดวกสบาย และสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวจีนได้มากขึ้นซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงฯ ที่ไม่ได้เน้นแค่การกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวจีนเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย ที่นักท่องเที่ยวต้องได้รับ
ในการเดินทางมายังประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้การเข้ามาลงทุนหาพันธมิตรอย่างต่อเนื่องของ WeChat Pay ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการสัญชาติจีน ที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย และหากผู้ประกอบการรายใดสนใจระบบการชำระเงินระหว่างประเทศเหล่านี้ ทางกระทรวงฯ ก็พร้อมสนับสนุน

 

สำหรับแนวทางการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทย ให้นักท่องเที่ยวจีนได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงนั้น ในช่วงก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับ 5 แพลตฟอร์มดังของจีน ได้แก่ BytePlus, Tencent, XiaoHongShu, MaFengWo และ Juwai IQI ซึ่งทุกแพลตฟอร์มก็พร้อมที่จะนำเสนอมุมมองที่สร้างสรรค์ของไทยให้นักท่องเที่ยวจีนได้รับรู้ และรับทราบข้อเท็จจริง รวมถึงได้หารือกับทูตจีนประจำประเทศไทยแล้ว และท่านก็พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

 

ส่วนมาตรการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวทุกประเทศต่อจากนี้ ได้กำชับทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ
ให้ดำเนินการอย่างเข้มงวด พร้อมได้ประสานงานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยวเพื่อบูรณาการในการทำงานร่วมกัน หากนักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรสายด่วนของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว  Call Center 1155 หรือ ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว 02-134-4077 ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ ที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา ได้แก่ ไทย, อังกฤษ, จีน, ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, เกาหลี และรัสเซีย ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

 

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง
บีทีเอส, แรบบิท และWeChat Pay ในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการเดินทางของไทยต่อนักท่องเที่ยวจีนทั้งเรื่องความทันสมัย และความสะดวกในการใช้งาน เพราะรถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นระบบขนส่งทางรางที่ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ย่านสำคัญของกรุงเทพมหานคร และมีความปลอดภัย ดังนั้นเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจีนได้เป็นอย่างดี

 

สำหรับเป้าหมายในปี 2567 ได้ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังประเทศไทย 8.5 ล้านคน และจะสร้างรายได้
ให้กับประเทศไทยมากกว่า 4 แสนล้านบาท จากนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยอดจองเที่ยวบินช่วงไฮซีซัน
ของนักท่องเที่ยวจีน ช่วงปลายเดือนมกราคม – ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีจำนวนมากขึ้น และเป็นแนวโน้มที่ดี
สำหรับประเทศไทย

ขณะที่เป้าหมายรายได้รวมจากภาคการท่องเที่ยวปี 2567 รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ที่ 3.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้
จากตลาดต่างประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท และในประเทศ 1 ล้านล้านบาท โดยจะใช้แผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศ5 ทิศทางหลักในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1.เสริมภาพลักษณ์ 2.รุกเปิดตลาดคุณภาพใหม่ 3.แสวงหาคู่ค้ารายใหม่และขยายความร่วมมือกับคู่ค้ารายใหญ่ในเวทีโลก 4.ขยายการเดินทางเชื่อมโยงทางบกเข้าถึงไทย และ 5.ใช้ดิจิทัลคอนเทนต์เสริมพลังทางการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวใหม่

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon