EASTSPRING แนะลงหุ้นอินเดียช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น ชูกองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity เน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพและมีการเติบโตอย่างยั่งยืน

111

มิติหุ้น  –  นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง  เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นอินเดียนับเป็นตลาดหุ้นที่อยู่นอกสายตาของนักลงทุนในปีนี้  โดยบลจ.อีสท์สปริง มองเห็นแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นอินเดียในปี 2024 ยังคงมีทิศทางที่ดี หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อย โดย GDP ไตรมาสล่าสุดสิ้นสุดเดือนกันยายนยังคงเติบโตมากถึง 7.64% (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 15 ธ.ค.66) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (PMI) ยังขยายตัวที่ 56 จุด และภาคบริการที่ 56.9  สะท้อนภาพเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ซึ่งมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Pro-Growth ที่รัฐบาลนำมาใช้ตั้งแต่ต้นปีด้วยการเข้มงวดนโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้ออย่างพอดี และประคองการบริโภคด้วยนโยบายการคลัง ทำให้อัตราเงินเฟ้ออินเดียปรับตัวลงอยู่บริเวณกรอบเป้าหมายด้านบนของรัฐบาลที่ 6% อย่างรวดเร็ว และยังทำให้ธนาคารกลางสามารถคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 6.5% (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 15 ธ.ค.66)  ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในปีหน้า

 

ตลาดหุ้นอินเดียยังได้แรงหนุนจากปัจจัยเพิ่มเติม คือ การเมืองระหว่างประเทศของจีนและสหรัฐฯที่เริ่มส่งสัญญาณร้อนแรงขึ้น โดยสหรัฐฯเริ่มมีเสถียรภาพและใช้โอกาสนี้ในการขยายอิทธิพลมายังภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยอินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจใหญ่และเติบโตเร็วในเอเชีย อีกทั้งยังมีบริษัทเอกชนสหรัฐฯจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่ย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนเข้าไปยังอินเดียท่ามกลางความขัดแย้งของสองมหาอำนาจ ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมาสหรัฐฯพยายามขยายความร่วมมือด้านการลงทุนกับอินเดียในหลายด้าน และมีการคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ปี 2024 และ 2025 อยู่ที่ 6.4% และ 6.3% ตามลำดับ (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 15 ธ.ค.66)

 

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศ โดยดัชนี SENSEX ของตลาดหุ้นอินเดียได้รับคาดการณ์ประมาณการกำไร (EPS) ขึ้นไปกว่า 14% ในปี 2024 (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 15 ธ.ค.66) นอกจากนั้นระดับราคาหุ้น หรือ Valuation ซึ่งวัดจากอัตราส่วนราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน (P/E Ratio) ยังอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีในการลงทุน โดยกองทุนที่แนะนำคือ กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity หรือ TMBINDAE ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว ซึ่งมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก คือ กองทุน Goldman Sach India Equity Portfolio ที่เน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศอินเดียที่มีคุณภาพและมีการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งกองทุนหลักมีเป้าหมายเอาชนะดัชนี MSCI India IMI ในระยะยาว โดยเน้นคัดสรรการลงทุนแบบ Bottom Up จากทีมงาน local based ทำให้กองทุนนี้มีความโดดเด่นเรื่องการหาผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากหุ้นขนาดกลางและเล็ก

“เราจะเห็นได้ว่ามี Global Supply Chain เริ่มไปสู่อินเดียมากขึ้น โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Foxxcon , Amazon , Google ประกาศเข้าลงทุนในอินเดีย เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านการผลิต ทำให้มีโอกาสเกิดการจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น  นอกจากนี้ ยังมีความชัดเจนด้านนโยบายภาครัฐหลังจากพรรค BJP ของนายกรัฐมนตรี นเรนทระ โมที ชนะการเลือกตั้ง 3 ใน 4 รัฐในปีนี้ และมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี 2024 ซึ่งจะส่งผลให้นโยบายต่างๆของรัฐบาลมีความต่อเนื่อง นักลงทุนจึงไม่ควรพลาดโอกาสในการลงทุนตลาดหุ้นอินเดียที่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตของพอร์ตไปพร้อมเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว” นายยิ่งยง กล่าว

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon