มิติหุ้น – สถาบันไทยพัฒน์ ผู้บุกเบิกการประเมินและจัดระดับความยั่งยืนของกิจการในประเทศไทย เปิดตัว ESG Premium เครื่องมือวัดมูลค่าความยั่งยืนของกิจการ ด้วยการประเมินส่วนล้ำทางมูลค่าจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ ด้วยการตั้งหน่วยงาน ESG Rating ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 เพื่อจัดทำชุดข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจที่อิงกับมาตรฐานสากล และเป็นผู้ริเริ่มการประเมินข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ได้พัฒนาเครื่องมือ ESG Premium ขึ้น สำหรับใช้วัดมูลค่าความยั่งยืนของกิจการในเชิงปริมาณ (Quantitative) เพื่อเป็นข้อมูลในกระบวนการวิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์สำหรับการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือ ESG Premium ที่พัฒนาขึ้น ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยข้อมูลเชิงปริมาณที่ใช้ ประกอบด้วย ยอดการลงทุนสีเขียว (Green Investments) มูลค่าผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Value) และผลการดำเนินธุรกิจ (Business Conduct) ที่ใช้เกณฑ์อ้างอิงตามมาตรฐาน ISAR[1] ขณะที่ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ใช้ ประกอบด้วย ตัววัดด้าน ESG จำนวน 30 รายการ ที่เป็นไปตาม WFE[2] ESG Metrics ซึ่งสมาพันธ์ตลาดหลักทรัพย์โลกแนะนำให้ใช้ชุดตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นข้อมูลฐาน (Baseline) สำหรับการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ให้แก่ผู้ลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง
ในการคำนวณ ESG Premium จะใช้ข้อมูล ESG Score ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ มาดำเนินการทางคณิตศาสตร์กับข้อมูล ESG Portion ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อหาส่วนล้ำทางมูลค่า (Premium) ในผลตอบแทนจากการลงทุนของแต่ละหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ค่า ESG Premium ในการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดจากปัจจัย ESG ในรูปของตัวเลขทางการเงินระหว่างกิจการที่ไปลงทุนได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท A มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 6% และบริษัท B มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 4% หมายความว่า ในมูลค่าการลงทุน 100 บาท บริษัท A และบริษัท B มีส่วนล้ำทางมูลค่าจากปัจจัย ESG อยู่จำนวน 6 บาท และ 4 บาทตามลำดับ ทำให้ผู้ลงทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่ยั่งยืน สามารถใช้ตัวเลข ESG Premium พิจารณาเลือกลงทุนในหุ้น A มากกว่าหุ้น B เนื่องจากผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่สะท้อนในผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัท A มีมูลค่าที่สูงกว่าบริษัท B
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “การพัฒนาเครื่องมือ ESG Premium ถือเป็นมิติใหม่แห่งการประเมินมูลค่าความยั่งยืนของกิจการ ที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ในการเปรียบเทียบว่าหลักทรัพย์ตัวใดในพอร์ตการลงทุน ที่ให้ Premium จากปัจจัย ESG ได้สูงกว่าหรือต่ำกว่าหลักทรัพย์ตัวอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถปรับสัดส่วนและน้ำหนักการลงทุนระหว่างหลักทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ต ตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่เกี่ยวกับความยั่งยืนได้อย่างตรงจุด
นอกจากนี้ บริษัทจัดการกองทุนรวมที่มีการดูแลบริหารกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน สามารถนำเครื่องมือ ESG Premium ไปใช้ในกระบวนการวิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์ให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนและตอบสนองต่อเป้าหมายที่กองทุนรวมต้องการบรรลุ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลลัพธ์เชิงบวกจากการลงทุน ทั้งผลจากการบริหารจัดการลงทุนอย่างยั่งยืน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อมโดยรวม”
เครื่องมือ ESG Premium ที่สถาบันไทยพัฒน์พัฒนาขึ้น ยังมุ่งตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืนในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (อาทิ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองอีทีเอฟ กองทรัสต์) ที่มีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรา 9 ในข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR)[3] ของสหภาพยุโรป ซึ่งเริ่มมีผลบังคับให้ต้องเปิดเผยในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2023 (สำหรับรอบบัญชีปี ค.ศ. 2022) เป็นต้นมา
บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ องค์กรของรัฐ สมาคม และสถาบันอื่น ๆ ที่ต้องมีการบริหารจัดการลงทุนอย่างยั่งยืน และสนใจในเครื่องมือ ESG Premium สามารถติดต่อเพื่อทดลองใช้งานได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ในการนี้ สถาบันไทยพัฒน์จะจัดให้มีการเสวนาในหัวข้อ “ESG Premium: Care to Earn” ในวันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ ภายใต้งานแถลงทิศทาง “ESG in 2024 and Beyond: Who Cares Earns” ให้แก่องค์กรที่สนใจ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากช่องทางติดต่อของสถาบันไทยพัฒน์
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon