มิติหุ้น – นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า สำหรับการคาดการณ์ในปี 2567 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น คาดว่ารายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จะมีการเติบโต 3-4% EBITDA จะมีการเติบโต 9-11% และค่าใช้จ่ายลงทุนรวมงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะสามารถทำกำไรภายหลังการปรับปรุง (Normalized) ได้ในปี 2567
“ทรู คอร์ปอเรชั่นรายงานผลประกอบการที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตขึ้นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ในปี 2566 ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ รายได้รวมสำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 4.4% QoQ โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการให้บริการและจากการขายที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการให้บริการไม่รวม IC (ตามการจัดประเภทรายการใหม่) สำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 2.0% QoQ มาจากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 2.3% และรายได้ธุรกิจออนไลน์เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา
รายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของการกลับมาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว พร้อมกับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าเดิม ส่วนการปรับขึ้นของรายได้ธุรกิจออนไลน์ได้รับแรงหนุนจากการเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับข้อเสนอที่น่าสนใจและการตอบสนองที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อการขายพ่วงของผลิตภัณฑ์และบริการที่เกิดภายหลังการควบรวมกิจการ ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก (Pay TV) มีรายได้จากการให้บริการแบบบอกรับสมาชิก คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 28.7% QoQ จากการเปิดตัว iPhone ใหม่ในไตรมาสที่ 3/2566
สำหรับปี 2566 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 11.2% จาก จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในไตรมาสที่ 4/2566 เพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากต้นทุนขายที่สูงขึ้น 24.5% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายได้จากการขายที่สูงขึ้น ทั้งนี้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นของการดำเนินงานเป็นอย่างดีจากการเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้างและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม
กำไร EBITDA ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาสที่ 4/2566 EBITDA เพิ่มขึ้น 5.0% นับเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่มีการเติบโต และเพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาทนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ อนึ่ง การปรับเพิ่มของ EBITDA ในไตรมาสที่ 4/2566 จำนวน 1 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้มาจากเติบโตของรายได้ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดย 50% ของการเติบโตมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม ทั้งนี้ อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 55.4 % สำหรับใตรมาสที่ 4/2566
ในไตรมาสที่ 4/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย และค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ จำนวน 10,899 ล้านบาท ส่งผลให้มีการขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีสำหรับไตรมาส 4/2566 จำนวน 11,279 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีจะอยู่ที่379 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,219 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ส่วนค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาสที่ 4/2566 อยู่ที่ 12,631 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม จำนวน 5.8 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ซึ่งถูกชดเชยด้วยผลประโยชน์จากการควบรวม”
ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส 4 ปี 2566
- รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC (ตามการจัดประเภทรายการใหม่) จำนวน 40,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.0% (QoQ)
- EBITDA อยู่ที่ 22,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% (QoQ)
- อัตรากำไร EBITDA (เมื่อเทียบกับรายได้รวม) อยู่ที่ 55.4%
- ขาดทุนสุทธิภายหลังการปรับปรุง (Normalized) จำนวน 379 ล้านบาท ปรับดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา 1,219 ล้านบาท
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon