“NER” ใจดีจ่ายปันผล 0.29 บาท/หุ้น จากกำไรปี 66 กว่า 1,545 ล้านบาท ด้านปี 67 ตั้งเป้าโต 10% พร้อมเดินหน้าสร้างโรงงานแห่งที่ 3

198

มิติหุ้น  –  นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่ามติคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.34 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 628.25 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 92.39 ล้านบาท ที่ได้จ่ายเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566

โดยคงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในครั้งนี้อีกในอัตราหุ้นละ 0.29 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 535.86 ล้านบาท การจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 40.65% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 23 เม.ย.2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พ.ค. 2567 ทั้งนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ก่อน

ด้านผลการดำเนินงานปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีปริมาณขาย 497,053 ตัน คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 25,045.17 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 16,259.49 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64.92% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 8,785.68 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.08% ของยอดขายรวม ส่วนกำไรสุทธิสำหรับปี 2566 อยู่ที่ 1,545.60 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.17% ของรายได้จากการขายรวม

สำหรับรายได้จากการขายที่ลดลงเกิดจากสถานการณ์ราคายางที่ปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับปี 2565 ราคาขายสินค้ายางเฉลี่ยในปี 2566 ลดลง 10.71%  โดยรายได้ที่ลดลงแบ่งเป็นผลต่างด้านด้านราคาที่ปรับตัวลดลง อยู่ที่ 3,003.90 ล้านบาท และแบ่งเป็นผลต่างด้านปริมาณสูงขึ้นอยู่ที่ 2,875.43 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ มีต้นทุนขายเมื่อเทียบกับปี 2565 ต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.91% โดยต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทเพิ่มขึ้นมาจากความผันผวนของราคายางในปี 2566 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบยางเมื่อเทียบกับรายได้มีต้นทุนที่สูงขึ้น

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายยางพาราอยู่ที่ประมาณ 5.1 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 5 – 10% จากยอดขายปี 2566 เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับปรุงโรงงาน และครื่องจักรเดิมให้มีประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าใช้งบลงทุนราว 30 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่3 มีกำลังการผลิต 302,400 ตัน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะมีกำลังการผลิต 172,800 ตัน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จปลายปี 2567 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 ซึ่งภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 818,000 ตันต่อปี จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 515,600 ตัน เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ

นอกจานี้บริษัทฯ มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต  ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีพลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)และไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์  ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี

ในส่วนขอด้าน ESG บริษัทฯ ยังคงดำเนินโครงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม และมิติด้านบรรษัทภิบาล  อาทิ โครงการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน โครงการตลาดสีเขียว โครงการห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ โครงการ NER ร่วมใจลดขยะพลาสติก โครงการตรวจสุขภาพกลุ่มเปราะบาง โครงการส่งสุขความรู้สู่ดวงใจพนักงานผ่านคาราวานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น และจะดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้  เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon