13 มีนาคม วันช้างไทย ทรูคอร์ปอเรชั่น ชวนตระหนักปัญหาความขัดแย้ง “คนกับช้าง” ใช้เทคโนโลยี AI เฝ้าระวังช้างป่าด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้าลดการสูญเสีย ของคนและช้างป่า

78

มิติหุ้น  –  “ช้าง” คือสัตว์ประจำชาติไทย และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง เราเหมือนจะรู้จักช้างกันมานานแต่หลายคนในเมืองอาจไม่ทราบว่าในพื้นที่แนวป่าและเขตรอยต่อของประเทศไทยมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันพื้นที่ป่าลดน้อยลงจากการนำไปใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่อาศัยและทำการเกษตรของคนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น แน่นอนว่า เมื่อพื้นที่ป่าลดลงแหล่งหากินของช้างก็ลดตาม ทำให้ช้างป่าบุกรุกออกนอกแนวป่าสู่พื้นที่ของชุมชนทำความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลให้มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง หรือ Human-Elephant Conflict (HEC) ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในหลายประเทศทั่วโลกที่มีช้างป่า จากรายงานข่าวบีบีซีพบว่าช้างทำให้มนุษย์เสียชีวิต 600 คนต่อปี และถือเป็นสัตว์อันตรายที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดอันดับ 8 ของโลก

กองทุนระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ (IFAW) รายงานว่าทุกปีประเทศศรีลังกาจะมีช้างป่าเสียชีวิต 200 ตัวจากกรณีความขัดแย้ง ประเทศอินเดียมีช้างเสียชีวิตประมาณ 100 ตัว ส่วนช้างประเทศเคนยาเสียชีวิต 120 ตัวต่อปี ในอีกมุมความสูญเสียของชีวิตมนุษย์จากช้างในอินเดีย มีประมาณ 400 คนต่อปี ส่วนในเคนยา มีคนเสียชีวิตราว 200 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2553-2560

ในโอกาสวันที่ 13 มีนาคมของทุกปี ซึ่งเป็น “วันช้างไทย” ทาง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของคนไทยและช้างป่า เผยข้อมูลที่มาในการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G, 4G และ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง หรือ Human-Elephant Conflict (HEC) ผ่านโครงการเฝ้าระวังช้างป่าด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Elephant Smart Early Warning System) ซึ่งได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ WWF ประเทศไทย ดำเนินการนำร่องในพื้นที่รอบเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยจากรายงานที่ผ่านมาระบบ Smart Early Warning สามารถลดความเสียหายและการถูกทำลายพื้นที่เกษตรกรรม ความสูญเสียทั้งชีวิตคนและช้าง รวมทั้งทรัพย์สินของชุมชนโดยรอบ มาดูกันว่าเกิดปัญหาอะไรตามแนวป่าที่มีช้างอาศัยของไทยและอยู่ร่วมกันได้อย่างไร

 

เปิดสถิติความขัดแย้ง “คนกับช้าง” จากข้อจำกัดด้านพื้นที่

ข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ ระบุว่า ปี พ.ศ. 2565 มีช้างป่ากระจายอยู่ใน 69 พื้นที่อนุรักษ์ แบ่งเป็น 38 พื้นที่อุทยานแห่งชาติ และ 31 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยพบว่ามี 49 พื้นที่ที่เจอปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่

หากดูข้อมูลย้อนหลังช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ มีผู้ได้รับผลกระทบแบ่งเป็นผู้บาดเจ็บ 116 คนและผู้เสียชีวิต 135 คน นี่ถือเป็นสถิติที่สูงจนหลายคนคาดไม่ถึง

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพื้นที่อยู่อาศัย หรือ ป่า ไม่เพียงพอกับจำนวนช้างป่า ที่มีอยู่ประมาณ 4,000 ตัว ซึ่งปกติช้างป่าเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมทางนิเวศในพื้นที่กว้าง เมื่อขนาดของพื้นที่ไม่สัมพันธ์กับจำนวนช้างป่า จึงไม่แปลกใจที่พื้นที่ป่าจะไม่เพียงพอกับความต้องการของช้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข

สำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ป่าอย่างรุนแรง และต้องการการแกัปัญหาอย่างเร่งด่วน เช่น พื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดทางภาคตะวันออก พื้นที่อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จ.เลย อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วโลกที่คนและช้างป่าอาศัยอยู่ใกล้กัน

ดังนั้น การลงมือหาโซลูชันในการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่การปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่หากสามารถเป็นต้นแบบการจัดการและแบ่งปันความรู้ไปยังพื้นที่ประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเดียวกันได้ด้วย

 

เทคโนโลยี 5G, 4G และ AI ช่วยลดความขัดแย้ง

นายประพาฬพงษ์ มากนวล หัวหน้าฝ่ายทรูปลูกปัญญา บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การจัดการกับความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่า สำหรับในมุมของภาคเอกชน โดย บริษัท ทรู คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ประเทศไทย (WWF) ทำการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่อสาร 5G, 4G และระบบ IoT และปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า พร้อมจัดสร้างศูนย์เฝ้าระวังช้างป่า เพื่อช่วยลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น”

 

เผยเบื้องหลังตีโจทย์เทคโนโลยีสู่การแก้ปัญหา

นายวีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวิชัย หัวหน้าศูนย์นวัตกรรม ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า “จุดเริ่มต้นในวิเคราะห์โจทย์ในการนำเทคโนโลยีมาออกแบบได้คิดจาก 4 แกนหลักที่ผสานรวมกัน คือ 1. เรียลไทม์ (Realtime) 2. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ 3. โซลูชันเครือข่ายและพื้นที่ครอบคลุม 5G (Network Solution & 5G coverage) 4. อินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง (Internet of Things) เพราะใจกลางของปัญหา คือ เราไม่รู้ช้างอยู่ไหน จะบุกมาเมื่อไร หรือรู้แต่ก็สายไปแล้ว ทำให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นเทคโนโลยีการสื่อสารที่ระบุพิกัดและแจ้งเหตุแบบเรียลไทม์จึงสำคัญมาก ส่วนนี้ทรูจึงนำจุดแข็งมาออกแบบจากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ร่วมกับกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า (Camera Trap) ทำงานร่วมกัน รวมถึงช่วยวิเคราะห์ภาพ เพื่อระบุภาพช้างได้แม่นยำขึ้น”

สำหรับขั้นตอนการทำงานของระบบเตือนภัยล่วงหน้า ตัวกล้องจะตรวจจับความเคลื่อนไหว มีการติดตั้ง SIM เพื่อส่งสัญญาณ 5G ผ่านเครือข่ายของทรูไปยังระบบ Cloud และใช้แอปพลิเคชัน คชานุรักษ์ (Kajanurak) ที่นำเทคโนโลยี AI วิเคราะห์รูปร่างของช้าง ทำให้ระบบมีความแม่นยำมากขึ้น เพราะกล้องสามารถจับภาพเคลื่อนไหวได้ทุกประเภท เช่น คน สัตว์ป่าอื่นๆ ในจุดนี้ AI จะช่วยคัดกรองก่อนแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังช้างป่า ซึ่งจะส่งข้อมูลพิกัดพบช้างต่อไปยังหน่วยผลักดันช้างหรือตัวแทนหมู่บ้านที่ทำหน้าที่ผลักดันช้างผ่านแอปพลิเคชัน คชานุรักษ์  ทำให้เจ้าหน้าที่ทำการเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความขัดแย้ง และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่างคนกับช้างป่า

 

พร้อมดูแลทุกพื้นที่ เล็งขยายผลเฝ้าระวัง

นายประพาฬพงษ์ กล่าวต่อไปว่า “จากความสำเร็จของโครงการเฝ้าระวังช้างป่าด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้า ที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ทรู ได้มีการขยายผลและนำไปใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งค่อนข้างวิกฤติ เช่น พื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ภายใต้ภายใต้โครงการคชานุรักษ์ ซึ่งครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา จันทบุรี ระยอง ชลบุรี และสระแก้ว” โดย ทรู ดำเนินการติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า (Camera Trap) ในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งหมด 36 จุด เพิ่มและปรับปรุงเสาสัญญาณ เพื่อรองรับระบบสื่อสารให้ครอบคลุมมากขึ้น จัดสร้างศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังช้างป่า ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานเฝ้าระวังช้างป่าของกรมอุทยานแห่งชาติฯ และชุมชนใน 5 จังหวัดที่เผชิญปัญหาความขัดแย้งกับช้างป่ามาอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงร่วมมือกับคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับระบบ Smart Early Warning เพื่อช่วยในการคัดกรองไฟล์ภาพช้าง แก้ปัญหาข้อจำกัดของ data storage ในระบบเมล์เซิร์ฟเวอร์ รวมถึงเป็นการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ของช้างแต่ละตัว ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเตือนภัยมากยิ่งขึ้น

โครงการเฝ้าระวังช้างป่าด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้า ได้เริ่มพัฒนาระบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 มีส่วนช่วยเสริมการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่หน่วยผลักดันช้างป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2566 จากรายงานผลการดำเนินของระบบดังกล่าวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี พบการบุกรุกของช้างป่า 1,104 ครั้ง พืชผลได้รับความเสียหายเพียง 4 ครั้ง และการบุกรุกได้เกิดความเสียหายเพียง 0.39% โดยระบบสามารถช่วยป้องกันความเสียหายได้ดีขึ้นเมื่อเทียบจากปี พ.ศ. 2565 จากสถิติที่ระบบแจ้งเตือน พบว่าสามารถช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถผลักดันช้างให้กลับเข้าป่าพร้อมลดความเสียหายได้เกือบ 100%

 

ป้องกัน-แก้ไข เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

ทรู ได้ริเริ่มและสนับสนุนโครงการเฝ้าระวังช้างป่าด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ โดยที่ผ่านมาได้รับรางวัล อาทิ โล่เกียรติคุณจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเหรียญทองจาก Silicon Valley International Invention Festival ในฐานะสิ่งประดิษฐ์และผลงานนวัตกรรมระดับโลก จัดโดย International Federation of Inventors Associations (IFIA) และ Geneva’s Exhibition and Congress Center (PALEXPO) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อแสดงให้เห็นว่านี่คือโครงการที่เป็นประโยชน์กับสังคมอย่างแท้จริง

แต่เหนืออื่นใด นอกจากการแก้ปัญหาแล้ว ต้องไม่ลืมว่าการป้องกันปัญหาในระยะยาวเป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ ตั้งแต่การพัฒนาแหล่งอาหารแหล่งน้ำและแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่เหมาะสม พัฒนาพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้มีความอุดมสมบูรณ์ พัฒนาพื้นที่แนวกันชน เป็นการจัดการพื้นที่เพื่อคนและช้างป่า และแน่นอนว่าต้องพัฒนาพื้นที่ชุมชนให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือสำหรับการอยู่ร่วมกันระหว่างคนและช้างป่าอย่างยั่งยืน

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon