บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO หุ้นน้องใหม่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเร็วๆ นี้ เป็นผู้ทำการตลาด ผลิต และจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค (Consumer Products) ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดสินค้าอุปโภคมากว่า 34 ปี
ยึดหลักในการทำธุรกิจที่เข้าใจความต้องการและความชื่นชอบของผู้บริโภค
ยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจที่เข้าใจความต้องการและความชื่นชอบในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค โดยมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลายในราคาที่เหมาะสม เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค โดย NEO มีผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จภายใต้หลายแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ได้แก่แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) แบรนด์ดีนี่ (D-nee) แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense)แบรนด์ทรอส (TROS) แบรนด์วีไวต์ (Vivite) แบรนด์สมาร์ท (Smart) และแบรนด์โทมิ (Tomi) ซึ่งมีสินค้าที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของผู้คนให้สะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น
และด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่เพียงเป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพจากผู้บริโภคในประเทศ แต่ยังได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมจากผู้บริโภคในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ประเทศลาว ประเทศเมียนมาร์ และประเทศเวียดนาม อีกด้วย โดย NEO มียอดขายจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15 ของรายได้จากการขายทั้งหมดของบริษัทในปี 2563 – 2566
ธุรกิจเรือธงต้องยกให้แบรนด์ “ไฟน์ไลน์-ดีนี่”
รายได้จากการขาย แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ แบ่งออกเป็น (1) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) คิดเป็นประมาณร้อยละ 40 ของรายได้จากการขายรวม (2) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของรายได้จากการขายรวม และ(3) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) คิดเป็นประมาณร้อยละ 35 ของรายได้จากการขายรวม โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากยอดขายแบรนด์ไฟน์ไลน์และแบรนด์ดีนี่ ซึ่งรวมกันคิดเป็นประมาณร้อยละ 70 ของรายได้จากการขายรวม และมีสัดส่วนรายได้จากการขายแบ่งตามช่องทางการจัดจำหน่ายที่เป็น ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และร้านค้าแบบดั้งเดิม คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 45 และร้อยละ 35 ของรายได้จากการขายรวม ตามลำดับ
จึงส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 5,061.72 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 9,484.35 ล้านบาท ในปี 2566 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR)
ร้อยละ 11.03 ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 294.98 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 839.52 ล้านบาท ในปี 2566 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 19.04 ต่อปี
กลยุทธ์ทางการตลาดแบบครบวงจร
ภายใต้จุดเด่นของ NEO ที่มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่งและเป็นที่นิยมคุณภาพระดับสากล, การคิดค้น วิจัย พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม , ความสามารถในการรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับช่องทางการจัดจำหน่ายในทุกช่องทาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ , การวางกลยุทธ์ทางการตลาดแบบครบวงจร สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและการแข่งขันของตลาด รวมถึงการมีโรงงานและคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปแบบอัตโนมัติที่ทันสมัยและรวดเร็ว
ตามวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตสินค้า
กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์และระบบบริหารจัดการคลัง เพื่อชำระคืนเงินกู้กับสถาบันการเงิน และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon