มิติหุ้น – ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นกำลังมีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในหลายประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม จากผลสำรวจพบว่า 95% ของผู้บริโภคชาวไทย (89% ในอาเซียน และ 94% ทั่วโลก) มีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าไฟ ค่าก๊าซ ค่าน้ำประปา ค่าน้ำมันและเชื้อเพลิง รวมไปถึงสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และ 74% ของผู้บริโภคชาวไทย (69% ในอาเซียน และ 49% ทั่วโลก) เลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น ขณะที่ 62% (55% ในอาเซียน และ 51% ทั่วโลก) ได้ลดการใช้จ่ายสำหรับสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นลง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่พิจารณาลดค่าใช้จ่ายในหมวดหมู่เครื่องประดับแฟชั่นมากที่สุด (65% ในไทย 59% ในอาเซียน และ 61% ทั่วโลก) สำหรับผู้บริโภคชาวไทย พิจารณาลดค่าใช้จ่ายในสินค้าหมวดเสื้อผ้าและรองเท้าเป็นอันดับสอง (57%) ตามด้วยสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเป็นอันดับสาม (53%) ในขณะที่ผู้บริโภคในอาเซียนและทั่วโลก จะลดค่าใช้จ่ายสินค้าประเภทของเล่นและเครื่องมืออุปกรณ์ gadgets เป็นอันดับสอง (47% ในอาเซียน และ 51% ทั่วโลก) ตามด้วยเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเป็นอันดับสาม (45% ในอาเซียน และ 41% ทั่วโลก)
“ค่าครองชีพที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความกังวลเรื่องการออมเงิน ทำให้ใช้จ่ายน้อยลง และหาวิธีลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีก (CPR) ควรทบทวนกลยุทธ์ทางการตลาด ทั้งในด้านสินค้าและราคาให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป”
นริศรา พัตนพิบูล หัวหน้าสายงานบริการที่ปรึกษาธุรกิจ EY ประเทศไทย กล่าวว่า
“แรงกดดันทางเศรษฐกิจส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยรัดกุมกับการใช้จ่ายมากขึ้น ลำดับความสำคัญของสิ่งจำเป็น และลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ผู้ประกอบการกลุ่ม CPR จึงจำเป็นต้องปรับแผนธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการเพิ่มการใช้ช่องทางออนไลน์ มีบริการจัดส่งสินค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้า”
งานและกิจกรรมลดราคาครั้งใหญ่ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค แต่การช้อปปิ้งออนไลน์คือสิ่งที่ขาดไม่ได้
งานลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ยังเป็นกิจกรรมที่สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง 72% ของผู้บริโภคชาวไทย (77% ในอาเซียน และ 61% ทั่วโลก) ยินดีที่จะเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยผู้บริโภคชาวไทยมากถึง 92% (อาเซียนและทั่วโลก 71%) เลือกที่จะไม่ซื้อสินค้าบางอย่างจนกว่าจะถึงงานลดราคาครั้งถัดไป
การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้บริโภคเนื่องจากมีข้อเสนอที่น่าสนใจ และสามารถทำรายการซื้อขายได้จริง โดย 59% ของผู้บริโภคชาวไทย (56% ในอาเซียน และ 50% ทั่วโลก) ซื้อสินค้าส่วนใหญ่ผ่านช่องทางออนไลน์ และมีเพียง 5% เท่านั้น (4% ในอาเซียน และ 10% ทั่วโลก) ที่เลือกซื้อสินค้าในร้านค้าเป็นหลัก หากพิจารณาข้อมูลเฉพาะของไทย จากรายงานผลการศึกษา FCI โดยเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างปี 2565 และปี 2566 พบว่า รูปแบบการใช้จ่ายซื้อสินค้าเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยผู้บริโภคนิยมการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 21% ส่วนการซื้อสินค้าที่ร้านลดลง 16%
นริศรา กล่าวว่า
“การเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสทางธุรกิจของบริษัทค้าปลีก ผู้ค้าปลีกจึงจำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ Omnichannel โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น AI และ Big Data เพื่อเพิ่มยอดขาย กำไร และเสริมสร้างความภักดี (Customer loyalty) ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ค้าปลีกต้องทำให้ชีวิตของผู้บริโภคง่ายขึ้น เช่นการให้บริการซื้อสินค้าที่ใช้งานง่าย และมีบริการจัดส่งสินค้าที่ราบรื่น”
โอกาสเพิ่มความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI
จากการสำรวจ มีการสอบถามว่า AI มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร ผู้บริโภคชาวไทยเพียง 16% (19% ในอาเซียน และ 18% ทั่วโลก) ที่ระบุว่ามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ AI และการใช้งานเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ผู้บริโภคมีความไว้วางใจคำแนะนำที่มาจาก AI น้อยลง โดยผู้ตอบแบบสอบถามไม่ถึงหนึ่งในสาม (22% ในไทย 29% ในอาเซียน และ 21% ทั่วโลก) ไว้วางใจในโปรโมชั่นและข้อเสนอที่มาจาก AI เช่นเดียวกับที่ไม่เชื่อมั่นในการแนะนำสินค้า จากประวัติการซื้อสินค้าที่ผ่านมาของผู้บริโภค (21% ในไทย 28% ในอาเซียน และ 22% ทั่วโลก)
Gergele กล่าวว่า:
“สำหรับธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีก ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์โดย AI จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ผู้บริโภค ด้วยการแนะนำสินค้าและการสื่อสารทางการตลาดที่ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคล และ AI ยังช่วยให้บริหารจัดการด้านซัพพลายเชนได้คล่องตัวขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานในตลาดได้ล่วงหน้า ทำให้สามารถปรับการผลิตและการจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าปลีกต้องได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค โดยทางหนึ่งที่ทำได้คือการสร้างความไว้วางใจในด้านการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความโปร่งใสในการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลของผู้บริโภค”
นริศรา กล่าวเสริม ว่า
“อนาคตของการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์ขึ้นอยู่กับการใช้นวัตกรรมและสร้างความไว้วางใจได้อย่างสมดุล โดยผู้ค้าปลีกต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า รวมถึงความโปร่งใสในการใช้ AI ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์ของ AI จะส่งผลดีต่อลูกค้าและธุรกิจ โดยจะช่วยยกระดับประสบการณ์ให้ลูกค้า และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ”
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon