ปลุกชีพ LTF ฟื้นจากหลุม หวังช่วยพยุง SET

558

กระแสกองทุน LTF จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลัง “พิชัย ชุณหวชิร” ขุนคลังป้ายแดงคนใหม่ ประกาศมีแผนการนำกองทุน LTFกลับมา เพราะต้องการทำเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นให้กลับมาคึกคัก นอกจากนี้ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกด้วย เนื่องจากคนยื่นภาษี 11 ล้านคน เสียภาษี 4 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ 79% เป็นมนุษย์เงินเดือน และคนลงทุน LTF ส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือน

 

FETCO เตรียมเดินหน้าหารือ คลัง

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีมากที่จะนำ กองทุน LTF กลับมาใช้อีกครั้ง จึงได้เตรียมเข้าพบ “พิชัย ชุณหวชิร” เพื่อหารือเกี่ยวกับกองทุน นอกจากนี้ยังมีแผนที่อยากจะปรับกองทุนทั้ง SSF และ ThaiESG ให้คล้ายกับโมเดลของ LTF โดยการปรับลดเวลาการถือครองลง เพื่อสร้างเสนห์ดึงดูดนักลงทุน เนื่องจากทั้ง 2 กองทุน มีจำนวนเงินลงทุนไม่มากนัก

 

ชี้เม็ดเงิน 10,000 ลบ. ส่งผลต่อดัชนี 20 จุด

ทางด้าน นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม นักกลยุทธ์ บล.กรุงศรี มองว่า การรื้อฟื้นกองทุน LTF ในระยะสั้นยังต้องจับตาอยู่ จากสถิติในช่วงปี 60-62 ก่อนที่จะยกเลิกกองทุน LTF มีเม็ดเงินไหลเข้าเฉลี่ย 6.8 หมื่นลบ.ต่อปี หากลองเทียบส่วนต่างของ SET ที่ปรับเพิ่มขึ้น พบว่าทุก 10,000 ลบ. จะส่งผลต่อดัชนี 20 จุด มองหุ้นที่จะได้รับประโยชน์คือ หุ้นที่อยู่ใน SET50/SET100 ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักที่กองทุนโฟกัส

 

ลุ้น Fund Flow ไหลเข้า
ดัน SET ยืนเหนือ 1,400 จุด

ในส่วน นายจารุชาติ บูชาชาติ นักกลยุทธ์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะนำ LTF กลับมา แต่ต้องดูเป็นระยะเวลา 5 ปี หรือ 7 ปี ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นไทย อย่าง SSF สามารถเลือกลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ แต่ LTF จะเน้นลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลักและมีระยะเวลาที่สั้นกว่า หากกลับมาจริงคาดจะมีกระแสเงินสดไหลเข้ามามากพอสมควร ลุ้นทะลุ 1,400 จุด ได้ถ้ามีความชัดเจน

ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มหุ้นใหญ่ แนะ ADVANC แนวรับ 205 บาท แนวต้าน 210 บาท, AOT แนวรับ 65 บาท แนวต้าน 66.75 บาท และ KBANK แนวรับ 130 บาท แนวต้าน 135 บาท

 

ข้อดีมากมายก่ายกอง

บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การนำ LTF กลับมา คาดว่าจะช่วยเพิ่มสถาพคล่อง หรือ TURNOVER ให้กับตลาดได้ และทำให้ SET ตอบสนองเชิงบวก ซึ่งในอดีตมีสภาพคล่อง เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี แต่ปัจจุบันเฉลี่ยเหลือเพียง 62.7% หากสภาพคล่องกลับมาบริเวณเดิม จะมีมูลค่าซื้อขายกลับไป 5.5 หมื่นลบ.ต่อวัน เพียงพอในการขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้นได้

นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงขายจากนักลงทุนสถาบัน สังเกตได้จากหลังหมด LTF และ SSFX มาซักระยะนักลงทุนสถาบัน ได้เริ่มขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ม.ค.64 – เม.ย.67 สถาบันเป็นผู้ขายหุ้นไทยมากสุด 1.5 แสนลบ. สูงกว่าต่างชาติที่ขาย 1.03 แสนลบ.

 

หวังช่วยพยุงตลาด
หลังถูกเทขายกว่า 1.59 แสนลบ.

พอ LTF หมดลงก็ไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุนตลาด มีแต่เม็ดเงินที่ทยอยถอนออก ซึ่งก่อนหมดสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีปลายปี 62 มีเม็ดเงิน LTF คงค้างในระบบสูงถึง 4.06 แสนลบ. และค่อยๆ ถอนออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 1.59 แสนลบ. ล่าสุด เม.ย. 67 เหลือมูลค่าคงค้าง LTF อยู่ 2.47 แสนลบ. หากไม่มีเม็ดเงิน LTF ใหม่เข้ามาช่วยพยุง ตลาดหุ้นไทยจะถูกกดดันจากแรงขายในยอดเงินคงค้างต่อ

ทั้งนี้ LTF ยังช่วยลดผลกระทบจากการ SHORT SELL เพราะผู้ลงทุนจะหาจังหวะสะสมในช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา โดยคาดหวังเม็ดเงินจาก LTF ใหม่เข้ามาหนุนราว 6 – 7 หมื่นลบ.ต่อปี เหมือนในอดีต และอาจจะแบ่งเม็ดเงินจากกองทุนหุ้นเมืองนอกกลับมาบ้าง จากการรวบรวมข้อมูลเม็ดเงินกองทุนหุ้นในระบบ พบว่า เป็นเม็ดเงินในกองทุนหุ้นนอก สูงสุดถึง 6.4 แสนลบ. คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของกองทุนหุ้นทั้งหมด ขณะที่เป็นเม็ดเงินจากกองทุน LTF เพียง 2.5 แสนลบ. คิดเป็นสัดส่วนราว 15% และกองทุน RMF หุ้นไทยเพียง 1.1 แสนลบ. คิดเป็นสัดส่วนราว 7%

สุดท้ายนี้ยังต้องติดตามกันต่อว่าจะสามารถนำกองทุน LTF กลับมาได้จริงไหม เพราะที่ผ่านมาเคยมีกระแสข่าวการนำกลับมาใช้อยู่มาก แต่กับได้กองทุนใหม่หรือกองทุนเก่าปัดฝุ่นออกมาแทน แต่ทั้งนี้มีโอกาสที่จะเป็นกองทุนแบบใหม่ ที่มีโมแดลใกล้เคียงกับ LTF อย่างไรก็ดียังต้องรอความชัดเจนในการออกกฎอีกครั้ง

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon