เหตุใดเอสเอ็มอีไทยจึงต้องเตรียมพร้อมสู่เศรษฐกิจสีเขียว

59

มิติหุ้น  –  ในขณะที่คาดกันว่าปี 2567 จะทำลายสถิติปีที่ร้อนที่สุดของปี 2566 ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับอากาศร้อนจัดที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี พร้อมกับเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ แต่เศรษฐกิจสีเขียวกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ของไทยในการปรับตัวและเติบโตในสภาวะตลาดใหม่เช่นนี้

ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับภาคการส่งออก

มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ CBAM มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ SMEs ไทย โดยเฉพาะหลังจากที่สหภาพยุโรปได้ประกาศให้บริษัทผู้นำเข้าสัญชาติยุโรปใน 6 อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง ได้แก่ อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย ไฮโดรเจน และเหล็กและเหล็กกล้า ต้องรายงานตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ภายในสิ้นปี 2568 หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปอาจประกาศเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นเข้าในมาตรการนี้ และภายในปี 2569 บริษัทที่ได้รับผลกระทบจะต้องเริ่มจ่ายภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนตามราคาสิทธิของระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป ด้วยความที่สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของไทยและคาดว่าการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีจะเสร็จสิ้นในปีหน้า มาตรการ CBAM นี้จึงน่าจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจไทย ธุรกิจ SMEs ไทยมีเวลา 2 ปีในการต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรการนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญเนื่องจากมาตรการนี้เป็นการบูรณาการที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งภายในประเทศและทั่วโลก 

ความต้องการด้านความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค

ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลามีอิทธิพลอย่างมากต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การขนส่ง และสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์

รายงานการวิจัยการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนปี 2566 โดย Booking.com ระบุว่านักท่องเที่ยวที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 26 ถึง 35 ปี มองหาตัวเลือกการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้น เกือบ 2 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ชื่นชอบที่พักที่ได้รับการรับรองความยั่งยืน และร้อยละ 59 มองหาที่พักในลักษณะนี้สำหรับการจองในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก กระตุ้นให้รัฐบาลกำหนดจุดยืนเชิงยุทธศาสตร์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถบัส ตลอดจนให้คำมั่นที่จะผลิตยานยนต์ไร้มลพิษให้ได้ร้อยละ 30 ของปริมาณยานยนต์ที่ผลิตทั้งหมดภายในปี 2573 การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีประโยชน์อย่างมาก ค่ายยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น เกรท วอลล์ มอเตอร์, บีวายดี และโฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล ต่างดำเนินการจัดตั้งฐานการผลิตในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่เริ่มผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่น Ora Good Cat ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ

อีกหนึ่งภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว คือ อสังหาริมทรัพย์สีเขียว รายงานการสำรวจล่าสุดโดย JLL Research ระบุว่ากว่าร้อยละ 95 ของผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในอินเดีย มาเลเซีย และไทย ตั้งเป้าให้อสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่ถือครองได้รับการรับรองด้านสีเขียว อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าปริมาณของอุปทานยังคงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยมีพื้นที่คาร์บอนต่ำที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพียง 2 ใน 5 ตารางฟุตของความต้องการทั้งหมด โครงการ One Bangkok ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สินของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นโครงการชั้นนำที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับแพลตตินัม โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่กำหนดมาตรฐานระดับสูงสำหรับการออกแบบเชิงนิเวศในระดับสากล นอกจากนี้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นับเป็นผู้บุกเบิกการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านพักอาศัย ซึ่งช่วยผลักดันการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์สีเขียวให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon