KKP เกิดอะไรขึ้น? ราคาหุ้นร่วงหนัก40%

25464

ราคาหุ้น KKP ปรับลงอย่างต่อเนื่องหากดูกราฟย้อนหลังในอดีตย้อนหลังไปตั้งแต่ต้นปี 66 ราคาเคยสูงสุดที่ 75-76 บ. แต่หากเอาแค่ระยะเวลาอันใกล้ปี 67 ช่วงเดือน พ.ค.67 ราคาเคยอยู่ที่ 53.50 บ.ระยะเวลากว่า 2 เดือนเท่านั้น ราคาปรับลงอย่างแรงต่ำสุดที่ 37.75 บ.หรือปรับลงไปกว่า 40% มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หากดูโครงสร้างรายได้ KKP แบ่งเป็นจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์(สัดส่วนราว70-80%) และธุรกิจตลาดทุน(20-30%) โดยธุรกิจธนาคารพาณิชย์มาจากธุรกิจด้านการให้สินเชื่อ, Private Banking และ ธุรกิจ Investment Banking  ซึ่งธุรกิจสินเชื่อจะเน้นให้บริการสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ยังเผชิญกับปัญหาคุณภาพสินเชื่อจากการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถอ่วมอยู่ในขณะนี้ จนNPL ปูดทะลุ 4% และยังมีขาดทุนจากการขายรถยึดอีก (ครึ่งปีแรก 67 ขาดทุนถึง 2,515 ลบ.) ถึงแม้ว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะมีสัดส่วนใหญ่กว่าราว 70-80 % ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคธุรกิจธนาคารไม่ได้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง

ขณะที่รายได้จากฝั่งธุรกิจหลักทรัพย์นี่แหละที่จัดว่า บล.เกียรนาคินภัทร ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 และแซงหน้าคู่แข่งอย่างชัดเจนภายหลังตลท.เปิดให้มีบริการ HFT : high frequency trading ที่เอาเปรียบรายย่อยตั้งแต่ปี 64 โดยการ เปิดพื้นที่ “Co-Location” ให้บรรดา HFT มาตั้งเซิร์ฟเวอร์ ใกล้กับเซิร์ฟเวอร์ของ SET และส่งคำสั่งด้วยความเร็วมากจนสร้างความเพี้ยนผ่านสายตานักลงทุนได้ทันทีเมื่อดูรายการส่งคำสั่งซื้อขาย Bid-Offer ผ่านระบบเทรด Streaming  และทำให้ บล.เกียรนาคินภัทรได้ประโยชน์เหนือคู่แข่งจนสร้างมาร์เก็ตแชร์จากระดับ 9% ขึ้นมาทุกๆปี จน 14% ในปี 64 และ 19% ปี 65 และทะลุ 20% ในปี 66 และช่วงครึ่งแรกปี 67

แต่กลับพบว่ารายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มันน้อยนิดเสียเหลือเกินจากวอลุ่มซื้อขายรวมๆราว 5ล้านล้านบาท ต่อปี และมาจากลูกค้าสถาบันต่างประเทศกว่า 4.6 ล้านล้านบาทต่อปี โดยน่าสงสัยว่าถ้าหากเก็บค่าต๋งเพียงล้านละ100 บาทมันคุ้มค่าไหม? แลกกับตลาดทุนที่ถูกทำลายแบบนี้มิหนำซ้ำยังทำร้ายเพื่อนๆในอุตสาหกรรมจัดว่าเป็นการแข่งขันทางธุรกิจที่ไม่ได้สร้างสรรค์เอาเสียเลย ตามสุภาษิตไทยที่ว่า “ทุบหม้อข้าวตัวเอง” โดยแท้ และนโยบายบริษัทก็เหมือนจะเพี้ยนๆเคยปล่อยมาร์จิ้นเคส MORE ด้วย

สุดท้ายก็สะท้อนออกมาที่ผลการดำเนินงานงบล่าสุด Q2/67 กำไรลดฮวบฮาบ เหลือเพียง 769 ลบ.ลดลงกว่า 45.4% YoY และ ลดลง 49% QoQ  ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่ง KKP เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตาการตลท.ที่ออกมา อาทิ Uptick rule เข้ามากดดันในการ short sell ยากขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าจะกระทบไปถึงธุรกิจ Wealth และ  Trading ของ KKP ด้วย จึงไม่ต้องแปลกใจว่าราคาหุ้น KKP ที่ร่วงลงมาเหมือนกับบริษัทกำลังจะเจ๊งแบบนี้จะมีอนาคตหรือไม่ถ้าไม่ปรับตัว และหากปรับตัวไม่ทันก็อาจจะโดนผลกระทบต่อเนื่องอีก

เพราะไม่เพียงเท่านี้ยังต้องติดตามมาตรการเพิ่มเติมของ ตลท.อีก อาทิ มาตาการการขึ้นทะเบียนผู้ลงทุนกลุ่ม HFT, มาตรการ Minimum Order Resting Time คือ การกำหนดเวลาขั้นต่ำของคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งเพื่อชะลอและป้องกันไม่ให้มีการส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะใส่-ถอนที่ถี่จนเกินไป อันจะช่วยป้องกันการส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม

นอกจากนี้จากการสอบถามบรรดาโบรกเกอร์ต่างๆ ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมอีกหาก ตลท.ต้องการสร้างความเป็นธรรมอย่างแท้จริงควรยกเลิก การติดตั้ง “Co-Location” ของบรรดา HFT มาตั้งเซิร์ฟเวอร์ ใกล้กับเซิร์ฟเวอร์ของ SET  และควรให้ HFT ใช้คัสโตเดียนในไทยเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่าอาร์ม ตลท.และ ก.ล.ต.ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้เต็มที่กับ คัสโตเดียนต่างประเทศ

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon