มิติหุ้น – กลุ่มธนาคารยูโอบีรายงานผลกำไรหลักสุทธิที่ 3.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2567 ซึ่งคงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เติบโตสองหลักและการตั้งสำรองสินเชื่อที่ลดลง หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดจากการซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 2.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
คณะกรรมการจึงประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 88 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณร้อยละ 51
ในไตรมาส 2 ของปี 2567 ผลกำไรหลักสุทธิของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงที่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิของไตรมาส 2 ปี 2567 ลดลงร้อยละ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง แต่กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากสินเชื่อหลายด้านที่เติบโตขึ้นและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวดีขึ้น รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 618 ล้านเหรียญสิงคโปร์ขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อ รวมถึงค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่เติบโตสองหลัก รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอื่นลดลงร้อยละ 21 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ถูกจำกัดด้วยกำไรที่ลดลงจากการสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการประเมินมูลค่าการลงทุนที่ลดลง
คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีความยืดหยุ่น โดยอัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่เปลี่ยนแปลงที่ร้อยละ 1.5 และต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 24 จุด
ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อและการค้าของสายงานธุรกิจขนาดใหญ่ของกลุ่มธนาคารยูโอบีสำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 ปรับตัวขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อและการทำธุรกรรมที่บันทึกใน ไตรมาสนี้ที่เพิ่มขึ้น ในปัจจุบัน รายได้จากการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของรายได้ของสายงานธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมด ในขณะที่รายได้ของการให้บริการด้านธุรกรรมทางการเงินคิดเป็นประมาณร้อยละ 53 ของสายงานธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมด
รายได้จากการบริหารจัดการความมั่งคั่งของสายงานลูกค้ารายย่อยของกลุ่มธนาคารยูโอบีในไตรมาส 2 ปี 2567 ดีดตัวขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง พันธบัตร และหน่วยลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงบริการประกันภัยธนกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้จากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเติบโตขึ้นในไตรมาสนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นและยอดใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงมองการไหลเข้าสุทธิของเงินใหม่ในเชิงบวก ส่งผลให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการจากลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.82 แสนล้านเหรียญสิงคโปร์ซึ่งสูงขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารยูโอบียังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ในเดือนมิถุนายน ยูโอบีได้ร่วมมือกับหน่วยงาน Enterprise Singapore เปิดตัวโครงการ Sustainability-Linked Advisory, Grants and Enablers หรือ SAGE Programme เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่กำหนดเป้าผลประกอบการด้านความยั่งยืนและเพื่อให้บริการโซลูชั่นทางการเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2567 พอร์ตโฟลิโอสินเชื่อการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนของกลุ่มธนาคารยูโอบีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับปี ก่อน
สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
มร วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “ไตรมาสนี้ กลุ่มธนาคารยูโอบี มีผลประกอบการที่ดี และเรามองเห็นแนวโน้มเชิงบวกสำหรับธุรกิจที่หลากหลายของเรา คุณภาพของสินทรัยพ์ยังคงมีความยืดหยุ่น ในขณะที่งบดุลของธนาคารยังคงแข็งแกร่งจากระดับเงินทุนและฐานะเงินทุนที่ดี
“การเติบโตทั่วโลกยังคงได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังคงมีความยืดหยุ่นในระดับที่ค่อนข้างดี เรามีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับศักยภาพระยะยาวของภูมิภาคนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ในขณะที่บริษัทต่างๆ ได้กระจายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานของตน การขยายตัวของแฟรนไชส์ลูกค้าและตำแหน่งในตลาดที่แข็งแกร่งส่งผลให้ยูโอบีมีความพร้อมที่จะคว้าโอกาสในภูมิภาคนี้
“เราประสบความสำเร็จในการรวมกิจการในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศไทย และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวนี้จะลดลงอย่างมากเมื่อเราเดินหน้าสู่การรวมกิจการในเวียดนามในปีหน้า เราจะมุ่งเน้นดึงรายได้และความคุ้มค่าในด้านต้นทุนจากพอร์ตการลงทุนนี้ พร้อมกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าและให้บริการลูกค้าของเราด้วยโซลูชันต่างๆ ที่ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการความมั่งคั่ง แม้อนาคตอาจจะไม่แน่นอน แต่เราก็มั่นใจในความสามารถของเราในการดำเนินการ ในสภาพแวดล้อมนี้ด้วยแนวทางที่มีระเบียบ”
ผลประกอบการทางการเงิน
1H24
S$m |
1H23
S$m |
YoY
+/(-)% |
2Q24
S$m |
1Q24
S$m |
QoQ
+/(-)% |
2Q23
S$m |
YoY
+/(-)% |
|
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิ | 4,763 | 4,846 | (2) | 2,401 | 2,362 | 2 | 2,437 | (1) |
รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิ | 1,198 | 1,075 | 11 | 618 | 580 | 7 | 524 | 18 |
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย | 1,038 | 1,144 | (9) | 457 | 581 | (21) | 581 | (21) |
รวมรายได้ | 6,998 | 7,065 | (1) | 3,476 | 3,523 | (1) | 3,542 | (2) |
หัก: รวมค่าใช้จ่าย | 2,926 | 2,889 | 1 | 1,452 | 1,475 | (2) | 1,448 | 0 |
กำไรจากการดำเนินงาน | 4,072 | 4,177 | (3) | 2,024 | 2,048 | (1) | 2,093 | (3) |
หัก: ค่าตัดจำหน่ายของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน | 13 | 10 | 34 | 7 | 7 | (4) | 5 | 32 |
ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตและค่าความเสียหายอื่นๆ | 395 | 534 | (26) | 232 | 163 | 43 | 365 | (36) |
บวก: บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า | 56 | 51 | 11 | 31 | 26 | 21 | 26 | 21 |
กำไรหลักสุทธิ | 3,054 | 3,084 | (1) | 1,489 | 1,566 | (5) | 1,507 | (1) |
หัก: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว | ||||||||
ต้นทุนการซื้อกิจการซิตี้ (หลังหักภาษี) | 143 | 159 | (10) | 64 | 79 | (19) | 92 | (30) |
กำไรสุทธิ (รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) | 2,912 | 2,925 | (0) | 1,425 | 1,487 | (4) | 1,415 | 1 |
6 เดือนแรกปี 2567 เปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกปี 2566
กำไรหลักสุทธิคงที่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ในครึ่งปีแรกปี 2567 ขับเคลื่อนจากค่าธรรมเนียมที่เติบโตสองหลักและการตั้งสำรองสินเชื่อที่ลดลง หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวแล้ว กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิลดลงร้อยละ 2 อยู่ที่ 4.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงเหลือร้อยละ 2.04 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเติบโตเร็วกว่าอัคราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ร้อยละ 3 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิเติบโตสองหลักที่ร้อยละ 11 โดยได้รับแรงหนุนจากการให้สินเชื่อและกิจกรรมตลาดทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่งที่สูงขึ้นและค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตที่แข็งแกร่งขึ้นจากแฟรนไชส์ในภูมิภาคที่ขยายตัวมากขึ้น
รายได้อื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 9 อยู่ที่ 1.0 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เนื่องจากกำไรที่ลดลงจากสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการประเมินมูลค่าการลงทุนที่ลดลง ในขณะเดียวกัน รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าขยายตัวอย่างดีที่ร้อยละ 13 โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการพันธบัตร หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง และกิจกรรมการป้องกันความเสี่ยงของลูกค้า
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1 อยู่ที่ 2.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เนื่องจากกลุ่มธนาคารยูโอบีรักษาวินัยด้านต้นทุนอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันก็ลงทุนเพื่อการเติบโตของแฟรนไชส์และความสามารถด้านดิจิทัล อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ร้อยละ 41.8 เงินกันสำรองสำหรับสินเชื่อรวมลดลงร้อยละ 26 เนื่องจากการตั้งสำรองเฉพาะรายและทั่วไปที่ลดลง ขณะที่คุณภาพของสินทรัพย์มีเสถียรภาพ
ไตรมาส 2 ปี 2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567
กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปรับลดลงร้อยละ 5 อยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวแล้ว กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 อยู่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 3 จุด อยู่ที่ร้อยละ 2.05 จากต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับสินเชื่อที่เติบโตขึ้นร้อยละ 2 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิที่ 618 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ในไตรมาสนี้เกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้รับจากแรงหนุนจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่แข็งแกร่งและผลประกอบการที่ดีขึ้นของกิจกรรมการบริหาร จัดการความมั่งคั่งและบัตรเครดิต รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้ายังคงรักษาโมเมนตัมไว้ได้จากความต้องการพันธบัตรและหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงของลูกค้ารายย่อย ขณะที่รายได้จากการค้าและการลงทุนอื่นๆ ปรับตัวลดลงจากตัวเลขระดับสูงที่ยอดเยี่ยมในไตรมาสก่อนหน้า
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้หลักยังคงที่ที่ร้อยละ 41.8 เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวตามระดับรายได้ การตั้งสำรองรวมเพิ่มขึ้นเป็น 232 ล้านเหรียญสิงคโปร์โดยต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมค่อนข้างคงที่ที่ 24 จุด
ไตรมาส 2 ปี 2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิลดลงร้อยละ 1 ตามส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวลดลง 7 จุด รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิดีดตัวขึ้นร้อยละ 18 เกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อและค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งฟื้นตัวจากปีก่อน ขับเคลื่อนจากกิจกรรมสินเชื่อที่ปรับตัวขึ้นและดัชนีความเชื่อมั่นในตลาดที่ดีขึ้น ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตก็มีการเติบโตที่แข็งแกร่งในระดับสองหลักเช่นกัน
รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 อยู่ที่ 216 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จากการขายพันธบัตรของลูกค้ารายย่อยและความต้องการในการป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง รายได้จากการค้าและการลงทุนอื่นๆ ลดลง เนื่องจากกำไรที่ลดลงจากการสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการประเมินมูลค่าการลงทุนที่ลดลง ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้นจาก 30 เป็น 24 จุด เนื่องจากการตั้งสำรองเฉพาะรายของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยเมื่อปีก่อน
คุณภาพของสินทรัพย์
คุณภาพของสินทรัพย์คงที่ โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ณ วันที่ 30 มิถุนายน ปี 2567 การเกิดสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) รายใหม่ได้รับการชดเชยจากหนี้สูญรับคืนและการตัดจำหน่ายหนี้สูญ อัตราส่วนเงินสำรองหนี้สูญต่อสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ร้อยละ 98 หรือร้อยละ 214 หากนับรวมหลักประกัน เงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อที่มีคุณภาพดีอยู่ในระดับระมัดระวังที่ร้อยละ 0.9
เงินทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่อง
เงินทุนของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงอยู่ในระดับดี โดยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 13.4 สำหรับไตรมาสนี้ จากการจ่ายเงินปันผลรอบสุดท้ายปี 2566 สภาพคล่องอยู่ในระดับเพียงพอ โดยอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องในทุกสกุลเงินเฉลี่ย (LCR) อยู่ที่ร้อยละ 149 และอัตราส่วนการจัดหาเงินทุนสุทธิ (NSFR) อยู่ที่ร้อยละ 118 ซึ่งยังสูงกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำ
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon