TTA รายงานกำไรสุทธิ จำนวน 438.2 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2567 นำโดยกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือที่ยังคงทำกำไรได้ต่อเนื่อง

72

มิติหุ้น  –  บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA มีรายได้ จำนวน 9,541.6 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2567 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง และปริมาณการขายปุ๋ยที่แข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มการลงทุนอื่น มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 19 ร้อยละ 61 ร้อยละ 12 ร้อยละ 6 และร้อยละ 2 ของรายได้รวม ตามลำดับ โดยสรุป TTA รายงานผลกำไรสุทธิ จำนวน 438.2 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2567 และ มีเงินสดภายใต้การบริหาร จำนวน 9.7 พันล้านบาท ตลอดจนมีโครงสร้างเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้จากมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 0.42 เท่า

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเมื่อช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ตลาดขนส่งทางเรือจะได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ความไม่สงบในทะเลแดงและสงครามในยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ จนกระทั่งสถานการณ์ก็ได้กลับมาสู่ภาวะปกติในช่วงไม่นานนี้ก็ตาม โทรีเซน ชิปปิ้ง ยังสามารถรักษาอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยได้สูงกว่าตลาด เช่นเดียวกับเมอร์เมด ก็สามารถทำรายได้สูงสุดจากงานรื้อถอน และงานขนส่งและติดตั้งบริเวณอ่าวไทย ในขณะที่ PMTA มีปริมาณการขายปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการเติบโตของปริมาณการขายปุ๋ยในประเทศเวียดนาม กระนั้นก็ตาม บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจในท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ และที่มาพร้อมกับโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในพอร์ตการลงทุนของ TTA บริษัทฯ ได้พยายามอย่างดีที่สุดในการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ และส่งมอบผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”

สำหรับแนวโน้มปี 2567 จากบทวิเคราะห์ของ Clarksons ได้คาดการณ์การเติบโตของการค้าสินค้าแห้งเทกองที่ร้อยละ 4.4 ในหน่วยตัน-ไมล์ และการขยายกองเรือคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 ในหน่วยเดทเวทตัน (DWT) โดยการเติบโตของสินค้าแห้งเทกอง มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการค้าเมล็ดธัญพืช (ร้อยละ +4.4) แร่เหล็ก (ร้อยละ 3.1) และสินค้าเทกองย่อย (ร้อยละ +3.0) นอกจากนี้ การค้าถ่านหินทางทะเลทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น (ร้อยละ +0.6) เนื่องจากกการฟื้นตัวของประเทศผู้ผลิตเหล็ก และการยุติการห้ามนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลียไปยังจีน

ผลการดำเนินงานของรายกลุ่มธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ :

รายได้ค่าระวางของโทรีเซน ชิปปิ้ง อยู่ที่ 1,800.9 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของรายได้จากเรือเช่า ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนเรือเช่าเทียบเท่า โดยอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจฯ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 14,964 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ยังคงสูงกว่าอัตราค่าระวางเรือซุปราแมกซ์สุทธิ อยู่ร้อยละ 5 และอัตราการใช้ประโยชน์เรือยังคงสูงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 100 และมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าสูงสุดอยู่ที่ 21,985 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเรือ (OPEX) อยู่ที่ 4,157 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม อยู่ร้อยละ 20 ดังนั้น ไตรมาสที่ 2/2567 โทรีเซน ชิปปิ้ง รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 530.3 ล้านบาท โดยเป็นเจ้าของเรือ จำนวน 24 ลำ (เรือซุปราแมกซ์ จำนวน 22 ลำ และเรืออัลตราแมกซ์ จำนวน 2 ลำ) มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 55,913 เดทเวทตัน (DWT) และมีอายุเฉลี่ย 16.2 ปี

กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง :

บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) หรือเมอร์เมด รายงานรายได้ 5,801.0 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากการได้รับโครงการใหม่ในงานรื้อถอน และงานขนส่งและติดตั้ง โดยรายได้จากงานรื้อถอน (Decommissioning) และงานขนส่งและติดตั้ง (Transportation & Installation: T&I) งานวิศวกรรมใต้ทะเล (Subsea-IRM) และงานวางสายเคเบิลใต้ทะเล (Cable Laying) มีสัดส่วนร้อยละ 60 ร้อยละ 30 และร้อยละ 10 ของรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจฯ ตามลำดับ

ในส่วนของรายได้งานรื้อถอน และงานขนส่งและติดตั้งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ร้อยละ 224 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน จากการเริ่มทำงานนอกชายฝั่งของงานรื้อถอน และงานขนส่งและติดตั้งบริเวณอ่าวไทย และรายได้จากงานวิศวกรรมใต้ทะเลเติบโต ร้อยละ 7 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของงานที่ไม่ใช้เรือ และรายได้จากงานวางสายเคเบิลใต้ทะเลเพิ่มขึ้น ร้อยละ 36 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากงานที่เพิ่มขี้น และไม่มีการนำเรือเข้าอู่แห้งในไตรมาสนี้ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 18 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน เป็น 567.8 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้ EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 20 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 416.3 ล้านบาท

โดยสรุป เมอร์เมด รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 59.5 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2567 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถึงร้อยละ 764 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน โดยมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 975.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสที่ 2/2567

กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร :

ในไตรมาสที่ 2/2567 บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA รายงานรายได้ 1,151.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน การขายปุ๋ยและรายได้จากการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงานที่เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขายปุ๋ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 62 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน จากการเติบโตในปริมาณการขายปุ๋ยในประเทศเวียดนาม ปริมาณการขายปุ๋ยรวมอยู่ที่ 52.6 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 จากความต้องการใช้ปุ๋ยในประเทศเวียดนาม ซึ่งปริมาณขายปุ๋ยในประเทศอยู่ที่ 46.1 พันตัน คิดเป็นร้อยละ 88 ของปริมาณขายปุ๋ยทั้งหมด ทั้งนี้ หากพิจารณาตามประเภทของปุ๋ย ปริมาณขายปุ๋ยเชิงเดี่ยว (single fertilizer) อยู่ที่ 12.5 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 145 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน เช่นเดียวกันกับปริมาณขายปุ๋ยเชิงผสม (NPK fertilizer) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เป็น 40.1 พันตัน อย่างไรก็ตาม สำหรับรายได้จากผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการเกษตรอื่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน เป็น 59.6 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน เป็น 32.4 ล้านบาท จากความต้องการใช้คลังสินค้าและกิจกรรมของคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ

75 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 174.8 ล้านบาท และ EBITDA อยู่ที่ 102.6 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น ร้อยละ 219 เทียบจากช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อน โดยสรุป PMTA รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 34.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 996 ในไตรมาสที่ 2/2567

กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage)

พิซซ่า ฮัท ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 พิซซ่า ฮัท มีสาขาจำนวน 186 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งสาขาทั้งหมดเป็นสาขาที่เปิดตามหัวเมืองใหญ่ทาโก้ เบลล์ เป็นแฟรนไชส์อาหารสไตล์เม็กซิกันที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ทาโก้ เบลล์ มี 29 สาขาทั่วประเทศ

กลุ่มการลงทุนอื่น (Investment) มุ่งเน้นธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำและโลจิสติกส์

บริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AIM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 92.50 เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ AIM ยังได้รับสัมปทานในการจำหน่ายน้ำประปาในหลวงพระบาง ประเทศลาว ผ่านบริษัทย่อยที่ AIM ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 100

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon