Entertainment Complex มือใครยาวสาวได้สาวเอา

936

Entertainment complex หรือ สถานบันเทิงครบวงจร ที่จะเป็นการยกบริการหลากหลายประเภทที่เคยอยู่ใต้ดินทำให้กลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายในสังคมไทย อาทิ คาสิโน บ่อนการพนันต่างๆ รวมไปถึงศูนย์รวมความบันเทิงตั้งแต่สวนสนุก สวนน้ำ โรงแรม ศูนย์การประชุม ซึ่งจะใช้พื้นที่เพียง 10% ของทั้งหมด แต่รายได้หลักถึง 70-80% จะมาจากการดำเนินงานของคาสิโน

ดังนั้นร่างกฎหมายต่างๆ จึงสำคัญ โดยร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ได้กำหนดว่าธุรกิจสถานบันเทิงประกอบด้วย 1.ห้างสรรพสินค้า 2.โรงแรม 3.ร้านอาหารในตึกเดียวกันหรือบริเวณใกล้เคียง 4.สนามกีฬา 5.ยอร์ชคลับหรือครูซชิพคลับ 6.สถานที่เล่นเกม 7.สวนน้ำและสวนสนุก 8.สวนสุขภาพ 9.พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP 10.กิจการอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

ไทม์ไลน์ของกฎหมายต่อจากนี้

  • เสนอร่างกฎหมายต่อ ส.ส. และ ส.ว. ครบทั้ง 3 วาระ
  • ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างกฎหมาย
  • ราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้กฎหมาย
  • ขั้นตอนเฉพาะโครงการ เช่น การคัดเลือกผู้ประกอบการ

โดยประมาณการรายได้ของผู้ประกอบการกาสิโนอยู่ระหว่าง 56,250-82,917 ลบ. และรายได้ของรัฐบาลอยู่ระหว่าง 32,388-38,022 ลบ. ทำให้รายได้รวมอยู่ระหว่าง 88,638-120,938 ลบ. ขึ้นอยู่กับสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้บริการ (10-30%) และอัตราภาษีกาสิโน (15-20%)

โครงสร้างรายได้จะแบ่งเป็นของผู้ประกอบการสถานบันเทิงครบวงจรและรัฐบาล โดยรายได้ของผู้ประกอบการสถานบันเทิงครบวงจรจะมาจากการเล่นเกม (Gross Gaming Revenue หรือ GGR) หรือเงินที่ได้จากการเล่นพนันคืนประมาณ 50-70% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้จากการให้บริการอื่น ๆ จะเฉลี่ยอยู่ในช่วง 30-50% ของรายได้รวม

พื้นที่เป้าหมายการพัฒนา Entertainment Complex

  1. พื้นที่ท่าเรือคลองเตย (พื้นที่เตรียมย้ายออก) กทม
  2. พื้นที่โซนบางกะเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ
  3. พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC
  4. พื้นที่จังหวัดภูเก็ต
  5. พื้นที่จัดหวัดเชียงใหม่

ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองการมี Entertainment Complex เป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่มีแต่เพียงแต่คาสิโนเท่านั้น ยังมีในส่วนอื่นๆ ที่เป็นเมกะโปรเจกต์ งานก่อสร้าง มีสถานที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ซึ่งเราสามารถเลือกเที่ยวได้ รวมถึงกระตุ้นในเรื่องของการลงทุน โดย GDP ไทยจะโตแรงได้เมื่อปีนั้นมีงานเมกะโปรเจกต์ ดีกว่าการอัดฉีดเงินเข้าระบบทั้งแบบดิจิทัลหรือเงินสด

ประกอบกับมีเจ้าภาพอย่าง “ราชตฤณมัยสมาคม” หากได้งานนี้ถือว่าค่อนข้างดี เนื่องจากมีความเชียวชาญในงานที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ศักยภาพในการดึงดูดภาคเอกชนเข้ามาร่วมและให้จับตาว่าจะเป็นพื้นที่ตรงไหน มองว่าท่าเรือคลองเตยน่าสนใจ เพราะมีเรื่องของ “ยอร์ชคลับ” หากใช้เอกชนเข้ามาช่วย ท่าสหไทยหรือหุ้น PORT จะได้รับประโยชน์ รวมถึงหุ้น SJWD ส่วนงานเมกะโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 68 จะเป็นหุ้นกลุ่มรับเหมาอย่าง CK, STEC กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่เป็นหุ้นใหญ่

ขณะที่บล.กรุงศรีแนะหุ้นในกลุ่มที่มีฐานทุนสูงและมีกระแสข่าวเข้าร่วมโครงการ อาทิ AWC, กลุ่ม บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA+BTS+STEC), กลุ่ม CP และกลุ่มเดอะ มอลล์ หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STEC ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ อาทิ BBL, KBANK, KTB หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon