GLOCON ประกาศมั่น 2024 ปีแห่งการ Turnaround เร่งเครื่องสร้างรายได้ทุกกลุ่มบริษัทย่อย

107

มิติหุ้น  –  บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON นำโดยนายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เปิดเผยถึงธุรกิจในเครือของบริษัท หลังจากที่ได้รายงานผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกลุ่มธุรกิจหลัก ประเภท ได้แก่ 1. ธุรกิจอาหารแปรรูปแช่แข็ง และอาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน ที่มีแบรนด์เด่นคือ ลูกชิ้นทิพย์ 2. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และ 3. ธุรกิจการผลิตและพัฒนานวัตกรรมอาหาร

ในไตรมาสที่ 2/2567 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของบริษัทเริ่มฟื้นตัวสู่ทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 9.2 ล้านบาท หลังจากได้ทำการปรับโครงสร้างธุรกิจและขจัดส่วนที่เป็นต้นเหตุของการขาดทุน กลุ่มธุรกิจแรกคือธุรกิจอาหารแปรรูปแช่แข็ง และอาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน ที่มีแบรนด์ ลูกชิ้นทิพย์ ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภค เนื่องจากรสชาติที่อร่อยถูกปาก และหาซื้อได้ง่าย ทำให้กลุ่มธุรกิจนี้สามารถพลิกกลับมามีกำไร นอกจากนี้ เรายังสามารถลดการสูญเสีย (waste) ในการผลิตและขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่หนึ่งในตลาด เพื่อสร้างรายได้และตั้งเป้าหมายในการทำกำไรที่ 40 ล้านบาทภายในปี 2024 พร้อมเติบโตปีละ 10%

ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ก็ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ทางบริษัทฯ ได้พัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยใช้วัสดุที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมความยั่งยืนและควบคุมต้นทุนการผลิต ทำให้กลุ่มนี้มียอดขายที่ดีขึ้น บริษัทฯ ตั้งเป้าสร้างรายได้จากธุรกิจนี้ราว พันล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วน 11% ของรายได้รวม

ธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายผลไม้อบแห้งยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย การจัดการที่มีประสิทธิภาพช่วยลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ปัจจุบัน บริษัทฯให้ความสำคัญต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นอันดับสูงสุด และแน่นอนว่าย่อมส่งผลทางตรงต่อคุณภาพของอัตรากำไรสุทธิมากกว่าปริมาณการขาย เรามั่นใจว่าทุกกลุ่มธุรกิจจะกลับมาเติบโตและมีกำไรอย่างต่อเนื่องภายในปี 2025 โดยตั้งเป้ายอดขายรวมที่ 180 ล้านบาทต่อเดือนในปี 2024 และเพิ่มขึ้นเป็น 220 ล้านบาทต่อเดือนในปี 2025