มิติหุ้น – Trend Spotter
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : วันศุกร์ที่ผ่านมา (27 ก.ย.) ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสมผสาน (ดัชนี DJIA +0.33% ในขณะที่ S&P500 -0.13% และ Nasdaq -0.39%) หลังรายงานดัชนี PCE เดือนส.ค. ขยายตัวลดลงมาที่ระดับ 2.2% yoy ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.3% (vs. เดือนก.ค. 2.5%) และ Core PCE ขยายตัวที่ 2.7% yoy สอดคล้องกับที่ตลาดคาด (vs. เดือนก.ค. 2.6%) ส่งผลให้นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้นเป็น 52.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 50bps สู่ระดับ 4.5% ในการประชุมเดือนพ.ย. และ เป็นแรงกดดันให้บอนด์ยีลด์ US-10 YR ปรับตัวลดลง เงินดอลลาร์อ่อนค่า
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจอื่นที่สำคัญ ได้แก่ รายงานของธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนตา ที่เปิดเผยว่า GDP ใน 3Q24 จากแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุด ขยายตัวที่ 3.1% (vs. 1Q24 ที่ 1.4% และ 2Q24 ที่ 3.0%)
ในขณะที่ตลาดหุ้นสำคัญอื่น อย่างญี่ปุ่น การได้ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่าง นายชิเงรุ อิชิบะ ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น เนื่องจากนโยบายที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นมาโดยตลอด
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญสัปดาห์นี้ติดตาม
1) ดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนเดือนก.ย. (30 ก.ย.)
2) CPI ยูโรโซน และ PMI ภาคการผลิตสหรัฐเดือนก.ย. (1 ต.ค.)
3) การจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.ย. จาก ADP (2 ต.ค.)
4) PMI ภาคการบริการสหรัฐเดือนก.ย. (3 ต.ค.) และ
5) การจ้างงานนอกภาคการเกษตร และ อัตราการว่างงานสหรัฐเดือนก.ย. (4 ต.ค.)
• SET Index : เราคาดว่า SET Index สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวบริเวณ 1,440-1,485 จุด โดยเราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงสนับสนุนจากเม็ดเงินวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท ที่จะเข้าลงทุนในวันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.) และ จะนำหน่วยลงทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 ต.ค. ภายใต้ชื่อ VAYU1
เราเชื่อว่ากองทุนฯ น่าจะลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3% และ มีคะแนน SET ESG Ratings ตั้งแต่ระดับ ‘AA’ ขึ้นไป
สำหรับปัจจัยสำคัญในประเทศอื่นๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ได้แก่
1) โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งเริ่มแจกเฟสแรกไปเมื่อวันที่ 25 ก.ย. โดยล่าสุด กระทรวงการคลังระบุว่ามีเม็ดเงินจากโครงการหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วจำนวน 1.2 แสนล้านบาท
ในขณะที่การแจกเงินเฟส 2 นั้น แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลระบุว่า การใช้งบกลางฯ ในปีงบประมาณ 2025 สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตวงเงิน 1.5 แสนล้านบาทนั้น รัฐบาลอาจปรับลดขนาดของวงเงินลงเหลือแจกคนละ 5,000 บาท ซึ่งคิดเป็นเงินงบประมาณ 1.1 – 1.2 แสนล้านบาท เนื่องจากความจำเป็นต้องใช้งบประมาณมากขึ้นในการเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและกำหนดการต้องรอความชัดเจนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการฯ อีกที
2) การประกาศของรัฐบาลที่จะนำโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาเริ่มดำเนินการช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2025 ควบคู่ไปกับโครงการ “คนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงโลว์-ซีซั่น
โดยจำนวนนักท่องเที่ยว YTD อยู่ที่ 25.4 ล้านคน และ เราคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะแตะ 36 ล้านคนในปีนี้ และ 40 ล้านคนในปีหน้า ซึ่งเราเชื่อว่า ERW และ Centel จะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้มากกว่า MINT และ SHR
• หุ้นแนะนำ
KBANK : เรามองว่า KBANK จะมี EPS เติบโตดีในปี FY24-26 รวมทั้งมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ และ เราเชื่อว่าการประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ เพื่อประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์การเคลียร์งบดุลของธนาคาร
(Take profit : 152.50 / Stop loss : 148.00)
ERW : เราเชื่อว่าการที่รัฐบาลประกาศนำโครงการ “คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาดำเนินการในช่วงโลว์-ซีซั่นปี 2025 จะเป็นประโยชน์ต่อ ERW ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้น Top pick ของเราสำหรับกลุ่มโรงแรมใน 2H24 เพราะ มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในประเทศสูง และ มีการประเมินมูลค่าน่าสนใจกว่าคู่แข่งในประเทศ
(Take profit : 5.00 / Stop loss : 4.30)
#MacroWealthResearch
#CGSInternational
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon