มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันอังคารปิดลบ 29 จุด (-0.07%) เป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบก่อนจะหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ทั้งนี้สรุปปี 24 ตลาดหุ้น S&P500 +23% ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1% ปัจจัยหนุนจีนรายงานภาคผลิตขยายตัว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับขึ้นอีกครั้งในวันอังคารทั้งรุ่นอายุ 2 , 10 ปี สะท้อนมุมมองเข้มงวดมากขึ้นต่อการดำเนินนโยบายการเงินจากความเห็นของนักลงทุน ซึ่งอาจเกิดจากคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับลดไม่มากนักเพราะตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งประกอบกับเงินเฟ้อเริ่มทรงตัว (ไม่ปรับลง) ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ให้น้ำหนักที่จะลดดอกทั้งปี 25 เพียง 1 ครั้งเท่านั้น ปัจจัยข้างต้นอาจไม่เป็นบวกกับตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเท่าใดนักจากกระแสเงินทุนไหลออก ขณะเดียวปี 25 จะเป็นการเริ่มต้นของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯอย่าง Trump ซึ่งนโยบายจะเน้นที่การเติบโตของสหรัฐฯโดยไม่สนใจประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจกระทบต่อการค้าทั่วโลกและส่งผลกระทบมายังประเทศไทยผ่านการส่งออกจึงเสี่ยงจะเกิด Downside ต่อประมาณการทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการลงทุนสำหรับประเทศไทยจึงต้องเน้นอุตสาหกรรมที่อิงกับการเติบโตภายในประเทศเป็นหลักหรือกลุ่มที่ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก (โรงพยาบาล สื่อสาร) รวมไปถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลงไม่มากนักตามทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่วนกลุ่มค้าปลีกและร้านอาหารตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ม.ค. จะเริ่มมีปัจจัยหนุนเข้ามาจากโครงการกระตุ้นบริโภคผ่านมาตรการ Easy E-Receipt มอง CRC HMPRO เป็นหุ้นน่าสนใจ ด้านทิศทางเศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือน พ.ย. พบว่าชะลอลงจากเดือนก่อนเพราะการบริโภคลดลงหลังจากที่เร่งไปในเดือนก่อนจากมาตรการโอนเงินของภาครัฐ สอดคล้องกับกิจกรรมในภาคการค้าและการลงทุนภาคเอกชนปรับลงจากหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ แต่อย่างไรก็ตามภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ สอดคล้องกับ ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานที่ 35.3 ล้านคน (ข้อมูล ณ 29 ธ.ค.) โดยขยายตัว 26%YoY ส่วนปี 25 ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 39.5 ล้านคน แต่ทั้งนี้ต้องติดตามผลกระทบการกีดกันการค้าว่าจะมีผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวหรือไม่ วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1390 – 1410 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังมองบวกกับดัชนีแต่เริ่มมองบวกน้อยลงจากความเสี่ยงการมาของ Trump และเศรษฐกิจไทยอาจมี Downside ส่วนหุ้นแนะนำเน้นที่ Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
เครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง เข้าถึงง่ายจากการกระจายตัวของโรงพยาบาลในทุกภูมิภาค 2) โอกาสการเติบโตจากความต้องการในตลาดที่สูง 3) การเข้ามาของผู้ป่วยต่างชาติที่มากขึ้น และ 4) แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อคนที่คาดสูงขึ้น ตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยเราประเมินกำไรสุทธิปี 2024/25/26 เติบโตที่ 10%/7%/6% จาก 1) การรับรู้รายได้โรงพยาบาลในต่างจังหวัดเติบโต และ 2) แผนเปิดโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่งใน 1H25 และแห่งที่ 3 ในช่วงปี 2026-27
KTB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท)
มีมุมมองเป็นบวกต่อการควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานดีขึ้นทำให้ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิเพิ่ม 2-3% ในปี 2024-26 โดยคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2024 เติบโตแข็งแกร่งที่ 15.6% และกำไรมีแนวโน้มเติบโตชละตัวที่ 3.1%/4.4% ในปี 2024-26 (ไม่รวมผลกระทบจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ของ ธปท.) โดยมองว่า KTB มีจุดแข็งในการควบคุมคุณภาพสินเชือ่ได้ดี โดยคาดว่า NPL ratio จะทรงตัวที่ 3% ในปี 2024-26 และสำรองหนี้ฯ เพียงพอรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon