มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones ปิดลบ 178 จุด (-0.4%) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯทำให้กังวลเกี่ยวกับภาวะดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.9% ได้แรงหนุนจากคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดจะอยู่ในภาวะตึงตัวจากการคว่ำบาตรน้ำมัน
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานตำแหน่งเปิดรับสมัครงานที่ 8.1 ล้านตำแหน่งสูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 7.73 ล้านตำแหน่ง พร้อมกับรายงานดัชนี ISM PMI ภาคบริการที่ 54.1 ซึ่งก็ดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 53.5 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับขึ้นต่อเนื่อง และค่าเงิน Dollar Index ก็กลับมาแข็งค่า กดดันให้เงินบาทพลิกมาอ่อนค่าเล็กน้อยทดสอบ 34.5 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยทั้งปี 25 เพียง 1 ครั้งเท่านั้น เป็นปัจจัยที่อาจไม่บวกเท่าใดนักกับตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้ฟื้นตัวแข็งแกร่ง (+1.3%) ผิดจากที่เราประเมินไว้ ภายหลังปิดตลาดพบว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 2.4 พันล้านบาท โดยกลุ่มที่โดดเด่นได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA KCE) พร้อมกับ Domestic Play อย่างพวก AOT CPN HMPRO และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากว่านักลงทุนบางส่วนเชื่อว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศอาจมิได้รุนแรงมาก จากการที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า Trump เล็งที่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพียงบางส่วนเท่านั้นอาจไม่ถึงกับทั้งหมด แม้ Trump จะออกมาปฎิเสธก็ตาม แต่ก็เชื่อว่านักลงทุนอาจเลือกจะเชื่อในบางส่วนเพราะอย่างน้อยก็มีมูลเหตุออกมาบ้าง แนะรอติดตามช่วงแถลงวันขึ้นสาบานตนของ Trump ในวันที่ 20 ม.ค. ทั้งนี้บรรยากาศการลงทุนในหุ้นไทยเริ่มดูเป็นบวกมากขึ้นจากกระแสเงินทุนต่างชาติ ขณะที่ Valuation ก็มิได้แพงมากนักจึงปรับมุมมองว่ามีโอกาสที่หุ้นไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้เล็กๆกลับไปทดสอบบริเวณ 1410 วันนี้คาด SET เคลื่อนไหว 1380 – 1400 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนกลับมา Trading เน้นที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่การจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.39 แสนรายและ 2.14 แสนราย
BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 168.00 บาท)
คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวที่ 2%/4.3% ในปี 2025-26 ด้าน ROE ปรับลดลงที่ 7.9%/7.8% ในปี 2025-26 จาก 8.1% ในปี 2024 และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 5.3-5.6% ในปี 2024-26 ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 4Q เราคาดกำไรจะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และรายได้ดอกดเบี้ยลดลง แต่กำไรจะปรับสูงขึ้น YoY จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นหลัก
HMPRO (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท)
ท่ามกลางกำลังของผู้บริโภคที่ชะลอตัว ประกอบกับงานก่อสร้างและการโอนโครงการอสังหาที่ลดลง ทำให้การจับจ่อยใช้สอยในส่วนของสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านจะชะลอตาม แต่เราคาดว่า HMPRO จะรายงานกำไรสุทธิงวด 4Q24 ที่ 1.7 พันล้านบาท (+3%YoY, +20%QoQ) ผลจากยอดขาย Mega Home ที่ขยายตัวดี ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่เริ่มควบคุมได้ดีขึ้นจาก Hybrid store ที่ทยอยเห็นผล ขณะที่การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ HomePro ช่วงเดือน ธ.ค. 2024 พลิกกลับมาบวกได้เล็กน้อย YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และ HomePro Super Expo ที่จัดเดือน ธ.ค. 2024 เทียบกับ พ.ย. 2023 ส่วน Mega Home ยังขยายตัวดีระดับ 3%-5% YoY
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon