Pi Daily เงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิตของสหรัฐฯต่ำกว่าคาด เป็นปัจจัยหนุนหุ้นโลก คืนนี้รอติดตาม CPI สำหรับหุ้นไทยปรับลงมาจน Valuation ควรเริ่มมองสะสมระยะกลาง

12

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 221 จุด (+0.5%) หลังสหรัฐรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตต่ำกว่าคาดการณ์ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.4% หลังจาก EIA ได้คงตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันและปรับเพิ่มอุปทานในสหรัฐฯ

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พบว่าขยายตัว 3.3%YoY 0.2%MoM และ Core PPI ที่ 3.5%YoY ทรงตัวเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งทั้งสองค่าข้างต้นล้วนแล้วต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ เป็นปัจจัยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอ่อนตัวลงเล็กน้อย พร้อมกับการอ่อนค่าของ Dollar Index เป็นปัจจัยหนุนระยะสั้นต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเช้านี้ Nikkei (+0.75%) ณ ช่วงเวลา 7.15 ตามเวลาประเทศไทย พร้อมกับ Kospi (+0.9%) มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ส่วนประเทศไทยวานนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน ธ.ค. อยู่ที่ระดับ 57.9 ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นและการท่องเที่ยวในประเทศก็ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มบริโภค (BJC CRC CPALL HMPRO) อย่างไรก็ตามกับ SET INDEX พลิกกลับมาปรับลง 1% (-14 จุด) แรงกดดันหลักจาก DELTA ที่มีผลต่อดัชนีถึง 5 จุดและ PTT 2.3 จุด สำหรับ DELTA นั้นอาจเกิดจากความกังวล Big Lot ที่ราคา 134 บาท วานนี้ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 137 พร้อมกับช่วงปิดตลาดพบว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 2.1 พันล้านบาทและสถาบันก็ขายสุทธิเช่นกันที่ 569 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเชื่อว่านักลงทุนทุกส่วนรอดูการแถลงของ Trump ในวันจันทร์สัปดาห์หน้า

โดยเริ่มมีกระแสข่าวบางส่วนว่า Trump อาจพิจารณาปรับขึ้นภาษีอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะปรับขึ้นทีเดียวในอัตราสูง หากเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีมากขึ้น อีกปัจจัยได้แก่เงินเฟ้อสหรัฐในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.9%YoY , 0.4%MoM หากต่ำกว่าคาดการณ์จะเป็นบวกกับตลาดหุ้น วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1335 – 1350 เชิงกลยุทธ์การลงทุนดัชนีปรับฐานต่อเนื่องจนทำให้ Valuation น่าสนใจสำหรับสะสมระยะกลาง เน้นสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ AOT CENTEL CPALL HMPRO MINT TU ส่วนการ Trading ระยะสั้นนั้นเน้นที่กลุ่มได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC SAWAD) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) โรงพยาบาล (BDMS)

CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท)
ธุรกิจค้าปลีกอาหาร (41% ของยอดขายรวม) มียอดขาย 2.3 หมื่นล้านบาท (+12%YoY) ใน 3Q24 ผลจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Go Wholesale และมีขยายสาขา Go Wholesale เพิ่มอีก 2 สาขาใน 3Q24 แม้ว่า SSSG กลุ่มค้าปลีกอาหารที่ -1%YoY (ไทย +1 และ เวียดนาม -3%) EBITDA สำหรับธุรกิจค้าปลีกอาหารลดลง YoY เป็น 1.6 พันล้านบาท (-14%YoY) ผลจากค่าใช้จ่ายการขยายสาขา Go Wholesale

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 56.00 บาท)
คาดว่ากำไรใน 4Q24 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ ด้านผลการดำเนินงานใน 3Q24 กำไรสุทธิออกมาตามคาดที่ 1.5 พันล้านบาท (+16% YoY, +3.2% QoQ) ด้านงบดุลดีขึ้นต่อเนื่อง NPL ratio ลดลงเหลือ 2.8% และ Coverage ratio ปรับขึ้นเป็น 129.5%

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon