CGSI : มีปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศ ปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2568 เป็น 1,530 จุด

18

มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างช่วยหาเสียงที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ม.ค.68 ว่ารัฐบาลมีแผนจะลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วย จากปัจจุบันที่ 4.15 บาท/หน่วย ขณะที่น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้ทบทวนข้อเสนอดังกล่าวแล้ว และเตรียมจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนจากภาคเอกชน เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันเรื่องการลดค่าไฟฟ้า แต่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า จะมีการลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วยได้เมื่อใด

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ประเด็นดังกล่าวทำให้บริษัทในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลสูงขึ้น ซึ่งสองกลุ่มนี้รวมกันคิดเป็น 18% ของมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) ของ SET ณ วันที่ 7 ม.ค.68 เท่ากับว่า ปัจจัยเสี่ยงจากการกำกับดูแลนี้อาจกระทบ sentiment ของกลุ่มและตลาด แม้เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลดค่าไฟฟ้า

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า กลุ่มธนาคารจะประกาศผลประกอบการงวดปี 2568 ภายในวันที่ 21 ม.ค. 68 ส่วนกลุ่มอื่นจะทยอยประกาศผลประกอบการจนถึงวันที่ 28 ก.พ.2568 โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของธนาคารใหญ่ 5 แห่งจะเติบโต 3% yoy แต่ลดลง 19% qoq ซึ่งผลประกอบการที่อ่อนตัวรวมถึงการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อาจฉุด sentiment การลงทุนในกลุ่มธนาคาร

ขณะที่คาดว่า บริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯทำการศึกษา จะทำกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้น 44% yoy และ 39% qoq โดยกลุ่มที่เชื่อว่าน่าจะมีกำไรในไตรมาส 4 เติบโตแข็งแกร่ง yoy คือ กลุ่มขนส่ง, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/66 ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิน่าอ่อนตัว yoy คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มเกษตร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ปัจจัยลบที่รุมเร้าทั้งจากในและนอกประเทศ ประกอบด้วยนโยบายการค้าของรัฐบาลใหม่สหรัฐ, การขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF), ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแล และเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนตัว ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ฯปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 มาที่ 1,530 จุด จาก 1,630 จุด ซึ่งจะเท่ากับ P/E 15.3 เท่าในปี 69 หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี

ขณะที่มองว่าตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์นี้ คือ หุ้นในกลุ่มปลอดภัยที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐและมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลน้อยกว่า ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ขณะที่หุ้น Top pick ของประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB

ขณะเดียวกัน มองว่าตลาดหุ้นไทยจะมี downside risk หากรัฐบาลทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้า, รัฐบาลไทยขอให้ภาคเอกชนสนับสนุนมาตรการลดค่าไฟฟ้า และบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการอ่อนตัวในไตรมาส 4/67 แต่ตลาดหุ้นจะมี upside risk หากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาจำนวนมาก และรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon