มิติหุ้น – นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25 – 4.50% ไปจนถึงอย่างน้อยช่วงกลางปี 2568 นี้ และอาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ (บอนด์ยิลด์) ทรงตัวอยู่ที่ 4.50 – 5.0% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์ปี 2551 จากประเด็นดังกล่าวส่งผลบวกโดยตรงกับหุ้นกลุ่มธนาคารในสหรัฐฯ ที่จะได้รับประโยชน์จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น แต่กดดันตลาดหุ้นโลกโดยรวม โดยเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายด้วยมูลค่า (Valuation) สูง
“บอนด์ยิลด์ที่ทรงตัวในระดับสูงจะกดดันตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะหุ้นที่มี Valuation ในระดับที่แพงมาก โดยหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ซื้อขายด้วยระดับราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) สูงถึง 21 เท่า โดยกลุ่มหุ้นที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่ม “7 นางฟ้า” ที่ซื้อขายด้วยระดับสูงนั้นจะถูกกดดันมากเป็นพิเศษ ในทางกลับกันจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ที่จะได้รับอานิสงส์จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้นตามบอนด์ยิลด์” นายคมศรกล่าว
สำหรับปัจจัยที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ มองว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับ 4.25 – 4.50% ไปจนถึงกลางปี 2568 มีดังนี้
- เงินเฟ้อสูง – เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังทรงตัวอยู่เหนือระดับเป้าหมาย 2% โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐฯ นั้น ไม่ได้มีแนวโน้มปรับลดลงตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และได้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.20 – 3.30% ต่อเนื่องเป็นเวลา 8 เดือน ขณะที่ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ปรับตัวลดมาอยู่ที่ 4.10% ในเดือนธันวาคม ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ถือเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed และทำให้ตลาดต้องปรับคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้รวม 4 ครั้งในปี 2568 แต่ปัจจุบันตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
- ความไม่แน่นอนนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์
อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจกระทบกับแนวโน้มดอกเบี้ย คือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายกำแพงภาษีของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาในช่วงหาเสียงว่า จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% และสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ อีก 10% ซึ่ง TISCO ESU ประเมินว่า กำแพงภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นถึง 1.20% ซึ่งหากทรัมป์ดำเนินการตามที่หาเสียงจริง ๆ อาจส่งผลให้ Fed นอกจากจะไม่ลดดอกเบี้ยแล้ว ยังอาจต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยแทนเสียด้วยซ้ำอย่างไรก็ตาม ในกรณีฐาน TISCO ESU ประเมินว่า ทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีกับจีนเพียงครึ่งหนึ่งของที่ประกาศไว้ และจะขึ้นกำแพงภาษีจากทั่วโลกอีกเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้ Fed สามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังไปที่ระดับ 4% หลังจากที่การบังคับใช้กำแพงภาษีมีความชัดเจนแล้ว
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon