มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 342 จุด (+0.77%) หลังจาก Trump ประกาศแผนภาษีตอบโต้แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนมองบวกเพราะว่ามาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ทันที ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.2% นักลงทุนคลายกังวลสงครามการค้าจากการเลื่อนประกาศ
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานดัชนี PPI พบว่าขยายตัว 3.5%YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 3.3%YoY พร้อมกับ Core PPI ที่ก็มากกว่านักวิเคราะห์คาดไว้เช่นกันและในส่วนของผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอยู่ที่ 2.13 แสนรายต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ส่วน Trump เมื่อคืนที่ผ่านได้ออกมาแถลงว่าจะลงนามในกฎหมายการค้าปี 1930 ว่าด้วยอำนาจของประธานาธิบดีที่จะเก็บภาษีศุลกากรสูงสุดถึง 50% ต่อสินค้าที่มีการนำเข้าจากประเทศที่เลือกปฎิบัติทางการค้าต่อสหรัฐฯแต่อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า Trump จะบังคับใช้มาตรการภาษีกับประเทศใดและสินค้าอุตสาหกรรมไหน ในส่วนของประเทศไทยนั้นส่งออกไปสหรัฐฯอันดับแรกและคิดเป็นสัดส่วนราวๆ 18% แต่ทั้งนี้ไทยนั้นมิได้เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯสูง 4 อันดับแรกที่เกินดุลกับสหรัฐฯอยู่ที่ จีน แคนาดา เม็กซิโก เวียดนาม จึงเชื่อว่าไทยจะยังไม่โดนผลกระทบด้านภาษีเร็วๆนี้จากสหรัฐฯ แต่ระยะกลางขึ้นไปก็มีความเสี่ยง ส่วนการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ทั้งหมดพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯชะลอลงเล็กน้อย พร้อมกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าลงมา อย่างไรก็ตามราคาทองยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนถึงความกังวลจากนักลงทุน ซึ่งอาจเกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ
ด้านปัจจัยในประเทศเมื่อวานที่ผ่านมารัฐมนตรีคลังได้ขอความร่วมมือหน่วยงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ (ก.ล.ต.) รวมไปถึงตลาดหลักทรัพย์ในการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะนำกองทุน LTF ไปอยู่ในกองทุน ThaiESG แต่ยังไม่สามารถเปิดรายละเอียดใดๆได้ แต่จะพยามๆทำให้เร็วที่สุดพร้อมคาดหมายว่าจะเน้นลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็เปิดเผยว่าปัจจุบันคนไทยได้นำเงินไปลงทุนต่างประเทศจำนวนมาก แต่ยังไม่ยอมนำกลับมาในประเทศ รัฐบาลจึงจะหากระบวนการให้เงินเหล่านั้นกลับมาในประเทศ พร้อมกับมีแผนเจรจาชวนบริษัทต่างชาติให้มาลงทุนในไทยและนำบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผลประโยชน์ก็จะตกกับตลาดหุ้นไทยและผู้ลงทุนก็จะมีทางเลือกมากขึ้น ประเมินปัจจัยข้างต้นเป็นบวกเล็กน้อยต่อตลาดหุ้นเพราะปัญหาหลักมากกว่าเรื่องกระแสเงินทุนคือปัจจัยพื้นฐาน เช่นการเติบโตเศรษฐกิจที่น้อยลง หนี้ครัวเรือนสูงกดดันการบริโภค วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1275 – 1295 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะสะสมได้เช่นเดิมในหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) ส่วน Trading ระยะสั้นแนะนำหุ้นที่ผลประกอบการ 4Q24 จะขยายตัวได้ดี (CPF AMATA) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ -0.2%MoM
CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.75 บาท)
ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q24 ต่อเนื่องถึง 1Q25 จะยังเห็นการเติบโตได้ต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลดีจากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูงได้ โดยเราคาดกำไรสุทธิงวด 4Q24 ที่ระดับ 4,000 ล้านบาท เพิ่มมากจากปีก่อนเพราะราคาเนื้อสัตว์ดีขึ้น แต่ลดลงกว่า 44%QoQ ซึ่งเป็นผลตามฤดูกาล Low Seasons ของธุรกิจสัตว์น้ำ
AMATA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท)
ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q24 ที่คาดว่าจะออกมาสูงถึง 1,251 ล้านบาท ได้รับผลดีจากยอดโอนที่ดินที่มากถึง 1,147 ไร่ หลังจากที่สามารถทำยอดขายทั้งปีได้กว่า 3,000 ไร่ และจากยอดขายที่ดีดังกล่าวทำให้มี Backlog สูงถึง 21,000 ล้านบาทซึ่ง จะเป็นปัจจัยที่หนุนผลประกอบการในปี 25 ทำให้เรามีการปรับกำไรขึ้นจากเดิม 27% มาอยู่ที่ระดับ 3,187 ล้านบาท
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon