มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมสผานในวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 ก.พ.) เพื่อพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศและเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มเติม หลังรับรู้ผลกระทบจากประเด็นที่ผ่านมาไปพอสมควรแล้ว ขณะที่ดัชนี Nasdaq100 ปิดบวก (+0.4%) ทำนิวไฮ
โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกรายสัปดาห์ ขานรับการคลายความกังวลต่อแผนเรียกเก็บภาษีของปธน. ทรัมป์ที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า ขณะที่ดัชนี PPI ที่ชะลอตัวกว่าตลาดคาด สอดคล้องกับรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนม.ค. ที่ลดลง 0.9% mom จะต่ำกว่าตลาดคาดที่ -0.2% (vs. เดือนธ.ค. +0.7%) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปีลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สองสู่ระดับ 4.44%
ความกังวลต่อสงครามการค้าจากนโยบายของทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สนับสนุนให้ในรายสัปดาห์ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 แม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรในวันศุกร์ (-1.5%)
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลบเช่นกัน (-0.8%) หลังสหรัฐ-รัสเซีย เตรียมหารือแผนยุติสงครามยูเครน ซึ่งจะส่งผลให้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐสิ้นสุดลง และอุปทานน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ท่ามกลางรายงานว่ารัฐบาลทรัมป์ได้เสนอต่อยูเครนว่าสหรัฐควรได้รับสิทธิ์ครอบครองแร่ธาตุหายากของประเทศ 50% และส่งสัญญาณว่าอาจส่งทหารสหรัฐไปประจำการเพื่อคุ้มกันหากมีข้อตกลงยุติสงครามกับรัสเซีย
ด้านตลาดหุ้นภูมิภาค แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะปิดลบในวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวขึ้นในรายสัปดาห์ (+8%) ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ 1Q24 จากผบประกอบการ 4Q24 ที่ออกมาสดใส ขณะที่ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเช่นกัน เผชิญแรงกดดันจากเงินปอนด์แข็งค่า และ บอนด์ยีลด์อังกฤษที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังรายงานตัวเลข GDP 4Q24 เมื่อวันพฤ. (13 ก.พ.) ขยายตัว 1.4% yoy สูงกว่าตลาดคาดที่ 1.1% (vs. 3Q24 ที่ 1.0%)
• SET Index : เราคาดว่า SET Index วันนี้จะเผชิญแรงกดดันร่วงลงไปทดสอบบริเวณ 1,250 จุด หลัง DELTA รายงานกำไรสุทธิหลัก 4Q24 ที่ 2.49 พันลบ. (-45% yoy, -60% qoq) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด 48%/ 51% โดยราคาหุ้นของ DELTA ที่เปลี่ยนแปลงไป 1 บาท จะกระทบต่อดัชนี SET 1.2 จุด
ขณะที่การประชุมนักวิเคราะห์ของ AOT หลังบริษัทรายงาน EPS ต่ำกว่าคาดเพราะรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์อ่อนตัว ทอท. ระบุว่า คิง เพาเวอร์ (KP) กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และได้ขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไป 18 เดือน เราจึงปรับลดประมาณการ EPS ปี FY25-27F ลง 29-34% เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ที่จำนวนเงินค้ำประกันขั้นต่ำประจำปีของ KP ถูกตัดลดลง 33%
วันนี้ ติดตามรายงานตัวเลข GDP 4Q24 ของไทย ที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 3.7% yoy (vs. 1Q24 ที่ 1.6%, 2Q24 ที่ 2.2%, 3Q24 ที่ 3.0%) ขณะที่ทั้งปี 2024 ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 2.7% yoy
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ เช้านี้ รายงานตัวเลข GDP 4Q24 ญี่ปุ่น ขยายตัว 0.7% qoq สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.3% (vs. 3Q24 ที่ 0.4%) ขณะที่ ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอื่นสัปดาห์นี้ ติดตาม 1) เงินเฟ้ออังกฤษเดือนม.ค. (19 ก.พ.) 2) รายงานการประชุมของ FOMC และดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟียเดือนก.พ. (20 ก.พ.) 3) ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการสหรัฐเดือนม.ค. / ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค. (21 ก.พ.)
• หุ้นแนะนำ
PIN : เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรปกติต่อหุ้นเติบโตแข็งแกร่งในอัตรา 13.2% CAGR ในปี 2024-27 และการประเมินมูลค่ายังน่าสนใจ เราจึงแนะนำให้สะสมหุ้นก่อนที่ PIN จะเปิดโครงการ IE ใหม่ และขยายพื้นที่ PIN 3 ในปี 2025-26
(Take profit : 7.20 / Stop loss : 6.60)
ADVANC : AIS รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 เพิ่มขึ้น yoy, qoq จากแรงหนุนของ ARPU ลูกค้าระบบเติมเงิน รวมถึงรายได้และมาร์จินจากการขายเครื่องโทรศัพท์ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ EBITDA เติบโต เพราะรายได้จากการให้บริการบรอดแบนด์เติบโตสูงและมาร์จินจากการขายเครื่องโทรศัพท์ดีขึ้น
(Take profit : 304 / Stop loss : 292)
#MacroWealthResearch
#CGSInternational
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon