ศูนย์วิจัยกรุงไทยชี้กระแสย้ายฐานการผลิต พลิกฟื้นการลงทุนภาคเอกชนไทยปี 2568

14

มิติหุ้น  –  ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมิน GDP ไทยปี 2568 ขยายตัว 2.7% ดีขึ้นจาก 2.5% ในปีที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มกลับมาเติบโต 3.0% จากที่เคยหดตัว -1.6% ในปี 2567 จากอานิสงส์ของการไหลเข้ามาของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) คาด 3 ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ในระยะแรก ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง โดยใน 1-2 ปีนี้ คาดว่าจะมีความต้องการสร้างโรงงานเพิ่มขึ้นปีละ 0.85-1.05 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ประเทศไทยยังต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการ Upskill/Reskill แรงงาน และเจรจาความตกลงการค้าเสรีเพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูด FDI ในระยะถัดไป

นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ในปี 2568 การลงทุนภาคเอกชนจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะพลิกกลับมาขยายตัวได้ 3% โดยในระยะถัดไป ประเมินว่า FDI จากจีนจะมีบทบาทกับการลงทุนของไทยมากขึ้น เห็นได้จากในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา FDI จากจีนอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นอย่างชัดเจน สวนทางกับแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่นที่เป็นเทรนด์ขาลง โดยในปี 2567 FDI จากจีนมีมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนถึง 1.75 แสนล้านบาท สูงกว่าญี่ปุ่น 3-4 เท่าตัว

“Krungthai COMPASS มองว่าไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของการลงทุนจากจีน เนื่องจากไทยมีศักยภาพในการดึงดูด FDI ที่โดดเด่นไม่เป็นรองกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนจากมุมมองของต่างชาติ เช่น Milken Institute คลังสมอง (Think Tank) ชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่าไทยติดอยู่ในอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศ Emerging and Developing Asia เป็นรองเพียงมาเลเซีย จากการมีจุดเด่นเรื่อง สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ และความพร้อมของบริการด้านการเงิน ส่วนจุดที่ยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ คือ การปกป้องสิทธิของนักลงทุน และความสอดคล้องกับกฎระเบียบสากล”

ดร. สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่าในระยะแรก FDI ที่ปรับตัวสูงขึ้นจะสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยใน 3 ธุรกิจสำคัญ ได้แก่ 1) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจากความต้องการซื้อที่ดินและสาธารณูปโภค 2) ธุรกิจก่อสร้างจากความต้องการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่อาจเพิ่มขึ้นราวปีละ 0.85-1.05 แสนล้านบาท และ 3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อขายให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งมักซื้อคอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยถึง 4.7 ล้านบาทต่อยูนิต สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทยถึง 114%”

“อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้า ยังต้องติดตาม 5 ปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อ FDI ได้แก่ 1) ภาวะสงครามการค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ-จีน 2) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลก 3) กฎระเบียบของโลกและประเทศคู่ค้า 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย และ 5) ความพร้อมด้านเทคโนโลยี โดยในมิติกฎระเบียบของโลก การเริ่มต้นของมาตรการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำของโลก (Global Minimum Tax) อาจทำให้สิทธิประโยชน์ด้านอัตราภาษีนิติบุคคลที่ได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน ไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูด FDI อีกต่อไป จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ครอบคลุมทั้งชนิดโครงการและประสิทธิภาพ พัฒนาทักษะบุคลากรผ่านการ Upskill และ Reskill รวมถึงมุ่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี เพื่อเป็นการรักษา FDI ที่ไทยได้รับให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง”

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon