มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 649 จุด (-1.48%) ขณะที่ S&P500 ปรับลงแรงสุดตั้งแต่ 18 ธ.ค. 24 หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการภาษีนำเข้าต่อ Canada , Mexico จะยังคงดำเนินต่อไปตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปรับลง 1.6% หลังมีรายงานว่า OPEC+ จะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิต
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (ISM PMI) พบว่าอยู่ที่ 50.3 แย่กว่า Bloomberg Consensus คาดที่ 50.6 ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ประกอบกับความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ ทำให้ US Bond Yield ปรับลงอย่างมีนัยยะสำคัญพร้อมกับราคาทองคำที่ปรับขึ้น สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนและทำให้ Vix Index ขยับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ปัจจัยทั้งหมดข้างต้นสะท้อนถึงภาวะนักลงทุนกำลังปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) และด้วยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ย่ำแย่ทำให้ CME FED Watch มองถึงโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ราว 3 ครั้ง แม้การลดดอกเบี้ยจะเป็นบวกแต่หากลดเพราะเศรษฐกิจย่ำแย่อาจสร้างผลกระทบเชิงลบแทน ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับลงต่อเนื่อง (-15.3 จุด) แม้ Valuation จะไม่แพงแล้วเพราะหากดู Earnings Yield Gap (กราฟด้านขวาล่าง) จะพบว่าปรับขึ้นมามากกว่า +2SD เกือบจะเทียบเท่าช่วง COVID-19 แต่ถึงกระนั้นตลาดก็ยังมิได้หยุดปรับฐาน บ่งชี้ว่านักลงทุนบางส่วนอาจกังวลกับระยะข้างหน้าที่อาจกลับมากดดันผลประกอบการไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ หนี้ครับเรือนระดับสูง ขณะที่อีกข้อสังเกตก็คือหุ้นใดที่ Valuation สูง (PE>25x) เสี่ยงจะถูกขายเพราะสะท้อนผ่าน DELTA PLANB และ GULF ก็เริ่มถูกทำกำไร ดังนั้นแนะระมัดระวังในหุ้นที่ PE สูง คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม โดยตัวเลขสำคัญจะอยู่ในคืนพรุ่งนี้ตั้งแต่การจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP , ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการจาก ISM , สต็อกน้ำมันดิบ วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1180 – 1200 Valuation อาจจะถูกแต่ไร้ปัจจัยหนุนและนักลงทุนยังอยู่ในภาวะขาดความเชื่อมั่น ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศเป็นอีกปัจจัยกดดันและยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าไทยจะโดนด้วยหรือไม่เพราะเป็นหนึ่งในประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางความเสี่ยงนักลงทุนอาจเลือกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์จนกว่าจะคลี่คลายในทางที่ดี โดยระหว่างนี้อาจเลือกสะสมหุ้นใหญ่ที่ธุรกิจแข็งแกร่ง อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) การเงิน (MTC SAWAD)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จาก 1) ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% YoY) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ (+11% YoY) 2) จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts YoY) และ 3) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 87.00 บาท)
CPN รายงากกำไรสุทธิ 4Q24 3,898 ล้านบาท แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นการปรับปรุงบัญชีจากการถือหุ้นใน Grab Thailand กว่า 497 ล้านบาท จะมีกำไรปกติถึง 4,392 ล้านบาท (+11%YoY,+7%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้เพราะค่าใช้จ่ายการบริหารมีเพียง 2,706 ล้านบาท (เราคาดไว้ที่ 3,000 ล้านบาท) สำหรับรายได้ยังเห็นการเติบโตดีทั้งจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และโรงแรม ส่วนอสังหาโตดีจาก 3Q24 แต่ลดลงจาก 4Q23 แนวโน้มในปี 25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี จากการเปิดศูนย์ใหม่ 2 แห่ง
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon