CGSI : Trend Spotter

18

มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยในระหว่างวันดัชนี DJIA ร่วงลงกว่า 840 จุด ขณะที่ Nasdaq ปรับตัวลงมาสู่เขตปรับฐาน (Correction Territory) จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างประเทศ (ดัชนี VIX วัดความวิตกพุ่งถึง 8.7% ระหว่างวัน)
หลังปธน. ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 25% จากสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งมีผลเมื่อวานนี้ (4 มี.ค.) และเรียกเก็บภาษี 10% เพิ่มเติมจากสินค้าจีนเป็น 20% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 15% มีผลบังคับใช้ 10 มี.ค. เช่นเดียวกับปธน. คลอเดีย เชมบัม ของเม็กซิโกที่กล่าวว่าจะตอบโต้ด้วยภาษีและมาตรการอื่นๆ ภายในสุดสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ตอบโต้ว่าจะเพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้นหลังจากที่นายกฯ ทรูโดของแคนาดาเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% จากสินค้าของสหรัฐเช่นกัน กดดันให้หุ้นของบริษัทที่มีการนำเข้าสินค้าอย่าง GM (-4.5%), Ford (-2.9%), Chipotle (-2.1%), Target (-3%) ร่วงลง

ตลาดหุ้นสหรัฐยังถูกกดดันนำโดยแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร (Citigroup -6.2%, JPMorgan Chase -4%) และกลุ่มค้าปลีก จากรายงานตัวการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว ท่ามกลางความกังวลว่านโยบายการค้าระหว่างประเทศนี้จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูงและสนับสนุนให้แนวโน้มที่ Fed จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม ติดตามคำกล่าวของทรัมป์ต่อสภาคองเกรส เกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากร และประเด็นสำคัญอื่น วันนี้

แรงกดดันจากสงครามการค้านี้ ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น ทั้งดัชนี STOXX600 และ FTSE100 ร่วงลงมา และเกิดแรงซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ (+0.7%) รวมถึงสร้างความกังวลว่าอาจทำให้อุปสงค์น้ำมันลดลง กอปกับการที่ OPEC+ ยืนยันการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย. ตามเดิม ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงมา 0.8%

• SET Index : เราคาดว่า SET Index จะแกว่งผันผวนบริเวณ 1,160-1,180 จุด โดยเรามองว่าดัชนี SET ในช่วงเช้ามีโอกาส Technical Rebound ที่บริเวณ 1,180 จุด แต่ Upside ยังคงจำกัด จากปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ Sentiment ลบตามตลาดหุ้นสหรัฐและความกังวลเกี่ยวกับ Trade war ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างๆ อยู่ในสถานะ Risk Off ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงสถานะขายหุ้นไทย

ประเด็นสำคัญหุ้นไทย :
1) สำหรับหุ้น ADVANC TRUE ที่ปรับตัวลดลงมา เรามองว่ากลุ่มโทรคมนาคมไทยมีการประเมินมูลค่าที่สะท้อนถึงการแข่งขันที่ไม่รุนแรงและตลาดที่มีผู้เล่นเพียงสองราย ขณะที่เราเชื่อว่าแนวโน้มในปี 2025-26 น่าจะขึ้นอยู่กับการเติบโตของธุรกิจหลักซึ่งน่าจะชะลอตัว เรายังแนะนำ Neutral กลุ่มโทรคมนาคมไทยเพราะเชื่อว่านักลงทุนควรรอดูผลการประมูลคลื่นความถี่และราคาประมูลสุดท้ายที่กสทช. เตรียมเปิดประมูลในเดือนเม.ย. 2025 และ เราคาดว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งสองจะประมูลย่านความถี่ mid-band (2100 และ 2300MHz) เพื่อรองรับ 4G/5G และเทคโนโลยีในอนาคต

2) สำหรับหุ้น AOT : การแก้ไข ELCID, การเลื่อนชำระเงินของ King Power อาจทำให้ตลาดตอบสนองในทางลบกับราคาหุ้นในระยะสั้น รวมถึงการปรับลดคาดการณ์ EPS ของตลาดในอนาคตด้วย

• หุ้นแนะนำ
BCH : BCH กล่าวว่าหากไม่รวมรายได้จากผู้ป่วยชาวคูเวต บริษัทจะมีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ +17% yoy ในปี FY24 และเราคาดว่ารายได้จากกิจการโรงพยาบาลจะ +8% yoy ในปี FY25-26 จากที่ทรงตัวในปี FY24 นอกจากนี้ เราคาดว่าอัตราส่วน SG&A/รายได้ น่าจะลดลงอีกในปี FY25

(Take profit : 16.6 / Stop loss : 15.4)

CPALL : CPALL ออกมาปฏิเสธการเข้าร่วมลงทุน Management Buyout (MBO) ของบริษัท Seven & i Holdings (7&i) แล้วจึงทำให้ overhang หายไป และ CPALL ยังน่าสนใจเพราะซื้อขายที่ P/E 17x ในปี FY25 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 18x

(Take profit : 54.25 / Stop loss : 51.75)

#MacroWealthResearch
#CGSInternational

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon