มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 670 จุด (-1.5%) ขณะที่ Nasdaq ปรับฐานเช่นกันเพราะนักลงทุนกังวลกับผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.6% หลังมีรายงานว่า OPEC+ จะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน
ทรัมป์ยังคงยืนยันที่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ขณะเดียวกันจีนก็ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าประเภทอาหารและเกษตรจากสหรัฐฯ สอดคล้องกับแคนาดาที่จะปรับขึ้นภาษี 25% ต่อสินค้าของสหรัฐฯมูลค่ารวมกันกว่า 1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯทำให้ความกังวลสงครามการค้ายังคงรุนแรงต่อเนื่อง เมื่อคืนที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯกลับมาปรับขึ้น Dollar Index พลิกลงมาอ่อนค่า พร้อมกับราคาทองคำปรับขึ้น สะท้อนถึงนักลงทุนอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงและเลือกจะถือเพียงสินทรัพย์ปลอดภัย มองเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกหรือจำกัด Upside ในท้ายที่สุดแล้วการทำสงครามการค้าข้อมูลในอดีตชี้ว่ามักไม่เป็นผลบวกกับใคร หรืออย่างใน 18 – 19 (ช่วงที่เกิดสงครามการค้า) ท้ายที่สุดแล้วธนาคารกลางสหรัฐฯก็จำเป็นต้องออกมาลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ส่วนเมื่อคืนที่ผ่านมามิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเพราะส่วนใหญ่แล้วจะรอประกาศในคืนนี้ประกอบไปด้วย (1) การจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.41 แสนราย (2) ดัชนี ISM PMI ภาคบริการ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 52.5 ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับลงต่อเนื่อง (-0.9%) รับแรงกดดันจากหุ้น AOT หลังจากในช่วงบ่ายได้ออกมาแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่าจากการชี้แจงในวันที่ 17 ก.พ. ให้ทาง KING Power เลื่อนการจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำ ก.ย. 24 – ก.พ. 25 ล่าสุดออกมาให้ข้อมูลใหม่เป็นว่าจากสิ้นสุดเดือน ก.พ. 25 เป็นสิ้นสุด เม.ย. 25 การเลื่อนดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาของ King Power แต่มุมมองระยะกลางอาจเป็นความเสี่ยงที่ King Power จะยังสามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับ AOT ได้ตามที่เสนอหรือไม่ (Downside กับผลประกอบการ) ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัดเพราะหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวเต็มไปด้วยแรงกดดัน วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1170 – 1185 เชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นมองเป็นรายตัวในหุ้นที่กำไรยังเติบโตได้พร้อมกับราคาหุ้นไม่แพง แม้ Valuation หุ้นไทยจะไม่แพงแต่ยังไม่แนะนักลงทุนเพิ่มพอร์ตการลงทุนเพราะความเสี่ยงยังค่อนข้างสูงไม่ว่าจะ Trump , เศรษฐกิจไทย , กระแสเงินทุน หุ้นแนะนำได้แก่ โรงพยาบาล (BDMS) โรงแรม (CENTEL MINT) ศูนย์การค้า (CPN) การเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จาก 1) ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% YoY) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ (+11% YoY) 2) จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts YoY) และ 3) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
CENTEL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท)
ประกาศกำไรปกติใน 4Q24 ที่ 667 ล้านบาท (+23% YoY, +220% QoQ) สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 34%/20% จากรายได้ธุรกิจหลัก และผลกำไรกิจการร่วมค้าที่เติบโตดีกว่าคาด โดยเรามองการเติบโตที่ต่อเนื่องไปยังปี 2025 ด้วย 1) การเติบโตของ RevPar ที่คาดสูงขึ้นจากเปิดให้บริการโรงแรมที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เต็มรูปแบบ 2) โรงแรมญี่ปุ่นที่ได้รับอานิสงค์จากงาน World Expo Osaka 2025 คาดหนุนอัตราการเข้าพักเติบโต
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon