มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 890 จุด (-2%) เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรและความเป็นไปได้ที่จะมีการปิดหน่วยงานรัฐบาลส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจที่อาจถดถอย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.5% นักลงทุนกับวลกับอุปสงค์จะหายไปเพราะมาตรการภาษีต่างๆ
เมื่อคืนที่ผ่านมานักลงทุนปรับเข้าสู่โหมดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) สะท้อนผ่านตลาดหุ้นปรับฐาน ราคาทองคำปรับฐาน ดัชนี Vix ปรับขึ้นเด่น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลงอย่างมีนัยยะ สะท้อนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ โดย Sector Performance ของสหรัฐฯเมื่อคืนพบว่ากลุ่มที่ Outperform สุดได้แก่สาธารณูปโภค (+1%) นักลงทุนไม่มั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯในช่วงถัดไปเพราะมาตรการภาษีที่มีความไม่แน่นอนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในความเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจะกระทบกับการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ นอกจากนี้การปลดข้าราชการออกอาจสร้างแรงกดดันต่อการบริโภคเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามอีกสาเหตุอาจเป็นเพราะว่าความแพงของตลาดหุ้นสหรัฐฯและการมาของ AI จีนที่ต้นทุนต่ำกว่าค่อนข้างมาก ทำให้ระดับการยอมรับ Valuation อาจถูกลดทอนลง เมื่อมองไปยังข้างหน้าหากทรัมป์ยังยืนยันทำนโยบายเช่นเดิมก็จะยิ่งเป็นความเสี่ยงของทั้งสหรัฐฯและโลก กลับมาที่ปัจจัยในประเทศ วานนี้ SET INDEX ยังคงปรับลง (-2%) แม้จะมีข่าวดีจากทางตลาดหลักทรัพย์ก็ตามในการเตรียมเสนอให้นักลงทุนรายย่อยเข้าลงทุนหุ้นรายตัวเพื่อลดหย่อนภาษี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่หดหายประกอบกับทิศทางการเติบโตข้างหน้าของกำไรบริษัทจดทะเบียนและเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน แม้วานนี้รัฐบาลจะมีแผนโครงการแจกเงินหมื่นเฟส 3 ในกลุ่มอายุ 16 – 20 ปี (คาดว่าจะแจกในช่วงปลาย 2Q25)
โดยประชากรข้างต้นมีจำนวนรวมกัน 2.7 ล้านคน แต่อย่างไรก็ตามหลายๆบทวิเคราะห์ต่างก็ยืนยันว่าการแจกเงินมีผลต่อเศรษฐกิจไม่มากนัก (การแจกในรอบที่ผ่านมา) ทำให้รอบนี้ก็เชื่อว่าผลบวกต่อเศรษฐกิจจะจำกัดและเมื่อประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังยากที่จะปรับขึ้นแม้ระดับ Valuation จะถูกก็ตาม วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1150 – 1180 เชิงกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางปัจจัยกดดันนักลงทุนควรระมัดระวังต่อการลงทุน แม้หุ้นไทยไม่แพงแต่การที่ยังปรับลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเปราะบาง ความไม่มั่นใจของนักลงทุน ทั้งนี้นักลงทุนระยะกลาง – ยาว อาจใช้จังหวะนี้เป็นโอกาสสะสมหุ้นที่พื้นฐานดี ปันผลสูง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม เพื่อการลงทุนระยะยาว อาทิ ส่งออก (ITC TU) โรงแรม (CENTEL MINT) โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ตำแหน่งเปิดรับสมัครงานของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 7.7 ล้านตำแหน่ง และคืนพรุ่งนี้รอติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จาก 1) ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% YoY) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ (+11% YoY) 2) จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts YoY) และ 3) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.60 บาท)
แนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q25 ยังเห็นการเติบโตได้ดีจากราคาเนื้อสุกรที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งที่ไทยและเวียดนาม ขณะที่ต้นทุนแม้ข้าวโพดจะขึ้นเล็กน้อยแต่กากถั่วเหลืองยังปรับตัวลงต่อจึงจะเป็นผลดีต่อต้นทุนการเลี้ยงได้ ซึ่งทำให้เรามีการปรับกำไรสุทธิในปี 25 ขึ้นเป็น 19,448 ล้านบาท (ทรงตัวจากปี 24 แต่ถ้าดูเฉพาะกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 4%YoY) ขณะที่รายได้ผู้บริหารคาดการเติบโตที่ระดับ 5-8% (เราคาดเติบโต 5% มาอยู่ 612,233 ล้านบาท) จากผลดีของราคาเนื้อสัตว์ข้างต้นที่ผู้บริหารมองว่าอย่างน้อยช่วง 1H25 จะยังอยู่ระดับสูงได้
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon