มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานข้อมูลคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 4/67 โดยฝ่ายวิเคราะห์ฯพบว่าธุรกิจหลักสี่กลุ่มมีอัตราส่วน NPL ลดลง นำโดยกลุ่มบริการและการผลิต นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคมี NPL ลดลงเช่นกัน เนื่องจากสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์มี NPL ลดลง ผลจากธนาคารเพิ่มความเข้มงวดของมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งการบริหารจัดการ NPL เชิงรุกในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/67 สินเชื่อ Stage 2 (underperforming) ยังเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าสินเชื่อกลุ่มนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ทั้งนี้พบว่าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย,สินเชื่อบ้านและสินเชื่อส่วนบุคคลมีอัตราส่วนสินเชื่อ Stage 2 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4/66-4/67 ตรงข้ามกับสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อรถที่มีอัตราส่วนสินเชื่อ stage 2 ลดลง qoq
ขณะเดียวกัน กลุ่มธนาคารมีอัตราการเกิด NPL ใหม่ลดลง 7% qoq ในไตรมาส 4/67 เพราะยอด NPL ใหม่และสินเชื่อที่กลับมาเป็น NPL ลดลง 4.1% qoq และ 17% qoq ตามลำดับ นอกจากนี้ ธนาคารยังเสนอปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้าและตัดหนี้สูญในเชิงรุกมากขึ้น
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 ได้พากลุ่มนักลงทุนไปเยี่ยมชมบริษัทสหการประมูล (AUCT) ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่สุดในธุรกิจให้บริการจัดการประมูลรถยนต์ในไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 40% ตามข้อมูลของผู้บริหาร ทั้งนี้ AUCT จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) อยู่ที่ 4.1 พันล้านบาท โดย AUCT เผยว่าช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ราคารถมือสองฟื้นตัว 10% ฝ่ายวิเคราะห์ฯจึงเชื่อว่าจะทำให้กลุ่มสินเชื่อรถยนต์และธนาคารมีขาดทุนจากการขายรถยึดลดลงในปีนี้ เนื่องจากทั้งปริมาณขายและขาดทุนต่อคันจะลดลง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเติบโตของสินเชื่อรถยนต์ใหม่ยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ไม่ได้ดีขึ้นจากปีที่แล้ว (ที่มา: ธปท.) อีกทั้งคาดว่ายอดขายรถยนต์ในปี 68 น่าจะทรงตัว yoy
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ยังแนะน าให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่ากำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) จะเติบโตช้าในอัตรา -1.5%/+1.5%+3.8% ในปี 68/69/70 ขณะที่เลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick เพราะเชื่อว่าธนาคารทั้งสองแห่งจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 5.5-9.0% ต่อปีและมีอัตราการ เติบโตของกำไรสุทธิ 2-12% ในปี 68-70 แม้ว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะมีสินเชื่อเติบโตชะลอตัว
โดยกลุ่ม ธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมถึงความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon