Pi Daily เริ่มเห็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุน Thai ESGX แนะนำนักลงทุน LTF เปลี่ยนไปเป็น Thai ESG X และหากประสงค์ลงทุนก็แนะซื้อลดหย่อนที่ 3 แสนบาท เพราะต้นทุนดัชนีที่น่าสนใจ

34

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 478 จุด (-1.1%) หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาเป็น 2x ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.4% ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามการบวกมิได้สูงมากนักเพราะกังวลผลกระทบจากภาษี

เมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดหลากหลายปัจจัยประกอบไปด้วย (1) ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาสู่ระดับ 50% จากเดิม 25% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในช่วงเช้าวันพุธที่ 12 มี.ค. เพราะต้องการตอบโต้ที่แคนาดาประกาศเก็บภาษี 25% ต่อกระแสไฟฟ้าที่มีการส่งให้สหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามล่าสุดทาง Peter Navarro ได้ออกมากล่าวกับ CNBC ว่าแผนเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมต่อแคนาดาได้ถูกยกเลิกแล้วและแคนาดาก็ได้บอกว่าแผนเก็บภาษีส่งออกไฟฟ้าสหรัฐฯก็ได้ยกเลิกเช่นกัน (2) สหรัฐฯได้รายงานตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน (Job Opening) ที่ 7.74 ล้านตำแหน่งดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 7.65 ล้านตำแหน่งทั้งนี้หลังจากทราบปัจจัยทั้งหมดพบว่า US Bond Yield กลับมาฟื้นตัวสะท้อนถึงมุมมองที่เปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นมองเป็นบวกกับตลาดหุ้นไทย ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ SET INDEX แสดงการเคลื่อนไหวที่ผันผวนแต่เป็นบวก โดยปรับลงไปทดสอบ 1160 (-1.4%) ก่อนจะกลับมาปิดบวก 0.86% โดยนักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ 1.9 พันล้านบาทและนักลงทุนต่างชาติแม้จะยังขายสุทธิ 1 พันล้านบาทแต่เห็นสถานะ Long 9.3 พันสัญญา ในช่วงแรกนั้นตลาดหุ้นไทยรับแรงกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯแต่หลังจากนั้นในช่วงก่อนปิดตลาดภาคเช้า รัฐบาลก็ได้ประกาศตั้งกองทุน Thai ESGX แบ่งออกได้ดังนี้ (1) เม็ดเงินจาก LTF เดิมผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้แต่จะไม่เกิน 5 แสนบาทแต่สิทธิ์การลดหย่อยนั้นจะแบ่งออกเป็นปีแรกลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 แสนบาทและปีที่ 2-5 สูงสุดปีละ 5 หมื่นบาท พร้อมกับเติมเงินใหม่ด้วย (2) ผู้ลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนและลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 แสนบาทพร้อมกำหนดถือ 5 ปี (คำนวณวันชนวันที่ลงทุน)

โดยสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ลงทุนจะเน้นที่หุ้นกลุ่มความยั่งยืนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ปัจจัยข้างต้นเป็นตัวชะลอแรงขายจาก LTF และเราแนะนำให้นักลงทุนที่ถือ LTF เปลี่ยนเป็น Thai ESGX เพราะไม่ควรขายหุ้นไทย ณ จุดที่ Valuation ไม่แพง ส่วนนักลงทุนที่ประสงค์จะซื้อก้อนใหม่ 3 แสนบาท ก็แนะนำให้ซื้อเช่นกันเพราะเป็นจุดที่ต้นทุนดีหากถือไป 5 ปีเชื่อว่าอย่างน้อยน่าจะมี Upside Gain หรือกรณีแย่สุดคือเท่าทุน สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์มองไปยังหุ้นที่มีคะแนน ESG สูง + พื้นฐานดี (ADVANC CPALL CPAXT CPF KBANK WHA CPN AP HMPRO TTB MINT) วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวกรอบ 1180 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนบรรยากาศตลาดหุ้นไทยเริ่มเป็นบวกมากขึ้น ขณะที่ Valuation อยู่ ในจุดที่ไม่แพงอยู่แล้ว หากปัจจัยต่างประเทศมิได้เผชิญกับแรงกดดันที่มากอาจค่อยๆเห็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงแนะสะสมเช่นเดิมในหุ้นพื้นฐานดีและเป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC TIDLOR)

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จาก 1) ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% YoY) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ (+11% YoY) 2) จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts YoY) และ 3) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 87.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 3,898 ล้านบาท แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นการปรับปรุงบัญชีจากการถือหุ้นใน Grab Thailand กว่า 497 ล้านบาท จะมีกำไรปกติถึง 4,392 ล้านบาท (+11%YoY,+7%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้เพราะค่าใช้จ่ายการบริหารมีเพียง 2,706 ล้านบาท (เราคาดไว้ที่ 3,000 ล้านบาท) สำหรับรายได้ยังเห็นการเติบโตดีทั้งจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และโรงแรม ส่วนอสังหาโตดีจาก 3Q24 แต่ลดลงจาก 4Q23 แนวโน้มในปี 25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี จากการเปิดศูนย์ใหม่ 2 แห่ง และออฟฟิศ 1 แห่ง

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon