CGSI : Trend Spotter

20

มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมสผาน โดยดัชนี S&P500 และ Nasdaq รีบาวด์ปิดบวกหลังร่วงลงอย่างหนักในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ขานรับรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเดือนก.พ. ที่ออกมาชะลอตัว ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับ Stagflation ของเศรษฐกิจสหรัฐลดลง จากแนวโน้มที่ Fed จะมีโอกาสผ่อนคลายนโยบายการเงินสูงขึ้น โดยดัชนี CPI ขยายตัวที่ 2.8% yoy ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.9% (vs. เดือนม.ค. 3.0%) และ Core CPI ขยายตัว 3.1% yoy ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.2% (vs. เดือนม.ค. 3.3%)

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มเทคฯ (Nvidia +6.4%, Tesla, +7.6%, AMD +4.2%) หลังจากที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 3% ในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายภาษีศุลกากรที่ยังกดดันดัชนี DJIA ให้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 และส่งผลให้มีแรงซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างราคาทองคำ (+0.9%)

ซึ่งล่าสุด ปธน. ทรัมป์ยอมลดการเรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 50% ลงเหลือ 25% จากแคนาดา รวมถึงจากทุกประเทศอื่นๆ ตามแผนเดิม มีผลบังคับใช้เมื่อวานนี้ (12 มี.ค.) หลังแคนาดายอมถอยจากแผนเก็บค่าธรรมเนียมไฟฟ้าที่ส่งไปยังสหรัฐอีก 25% แต่จะมีการเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบโต้สหรัฐ ขณะที่ EU ประกาศจะดำเนินมาตรการตอบโต้กลับสหรัฐด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 2.6 หมื่นล้านยูโร เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเม.ย.

ติดตามรายงานตัวเลขดัชนี PPI สหรัฐเดือนก.พ. คืนนี้ และภาวะชัตดาวน์ในสหรัฐว่าจะสามารถผ่านร่างกฎหมายให้ปธน. ทรัมป์ลงนามบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ (14 มี.ค.) ได้ทันหรือไม่

สำหรับราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 2.2% หลัง EIA รายงานตัวเลขสินค้าคงคลังน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล (vs. ครั้งก่อนเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล)

• SET Index : เราคาดว่า SET Index ยังคงแกว่งผันผวนบริเวณ 1,145-1,170 จุด
โดยดัชนี SET วันนี้อาจ Technical Rebound เพียงช่วงสั้นเท่านั้น แต่ยังไม่สามรถฟื้นขึ้นมาได้ เนื่องจากโดยภาพรวม
เรามองว่ายังอยู่ในช่วงขาลงภายใต้แรงกดดันจากความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยที่ยังตกต่ำ

แม้เราจะมองเชิงบวกต่อการที่รัฐบาลจะมีการอนุมัติกองทุนรวม TESGX เพื่อชะลอการไหลออกของเงินทุนจากกองทุนรวม LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน แต่เราคาดว่าน่าจะมีเงินลงทุนใน LTF เพียงครึ่งเดียวที่จะย้ายมาลงทุนใน TESGX ใหม่ ส่วนเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนใน TESGX น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นลบ. โดยเราเชื่อว่ากองทุน LTF ที่ไม่ได้ย้ายไป TESGX ซึ่งน่าจะเหลืออีกประมาณ 9 หมื่นลบ. สามารถขายคืนได้ตลอดเวลา กอปรกับมาตรการของรัฐที่อาจยังไม่ส่งผลดีต่อตลาดมากนัก รวมถึงความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยที่แม้เรามองว่าจะไม่ส่งผลต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ในช่วงปลายเดือนมี.ค. 2025 แต่อาจทำให้การอนุมัติโครงการสำคัญของรัฐบาลเกิดความล่าช้า

ซึ่งจากประเด็นข้างต้นที่กล่าวมาจึงล้วนยังคงกดดันตลาดหุ้นไทย

ขณะที่นโยบายการค้าระหว่างประเทศของปธน. ทรัมป์ที่สร้างความกังวลต่อสงครามการค้าและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงมีความไม่นอน และทำให้ US Recession Probability เพิ่มขึ้นเป็น 35% จากรายงานของ CNBC (vs. จากเดิม Pimco ประเมินไว้ที่ 15% ช่วงธ.ค. 2024)

เราจึงแนะนำการ Trading Selective buy เพียงอย่างเดียวในช่วงนี้

• หุ้นแนะนำ
PTTEP : แม้เราคาดการณ์ว่าราคาก๊าซน่าจะอ่อนตัวลงในปี FY25 แต่เราเชื่อว่าราคาก๊าซของ PTTEP จะยังทรงตัวเพราะราคาจะปรับตามหลังราคาน้ำมันประมาณ 12 เดือน ขณะที่ PTTEP มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจที่ 8% ในปี FY25

(Take profit : 110.0 / Stop loss : 105.5)

CRC : เราเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะรับรู้ปัจจัยลบแล้วเห็นได้จากการที่ CRC ซื้อขายที่ P/E เพียง 19.8x ในปี FY25 (-1.5SD ของค่าเฉลี่ยสามปี) ซึ่งเรามองว่าเป็นจุดกลับเข้าซื้อที่น่าสนใจ นอกจากนี้ เรายังเชื่อมั่นต่อศักยภาพเติบโตระยะยาวของ CRC เพราะบริษัทมีร้านค้าปลีกหลายรูปแบบในตลาดที่หลากหลาย อีกทั้งความเสี่ยง-ผลตอบแทนในขณะนี้ยังเหมาะสม

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon