สงครามการค้าเดือด ตั้งกำแพงรีดภาษียับ

61

มิติหุ้น – หลังการเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อ 20 ม.ค. ที่ผ่านมาของ”โดนัลด์ ทรัมป์” เร่งเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าอย่างดุเดือด เริ่มจากแคนาดา-เม็กซิโก 25% จีน 10-20% เหล็ก-อะลูมิเนียมทั่วโลก 25% จนส่งผลให้ประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี บอยคอต

ขึ้นภาษีไม่สนโลก

สถานการณ์สงครามการค้าโลกร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อ  โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ขู่ขึ้นภาษีไวน์นำเข้าอีก 200% จากสหภาพยุโรป ตลอดจนแชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ โดยประกาศผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย หลังสหภาพยุโรปตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐ กับสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้า 25% ด้วยการขึ้นภาษีวิสกี้นำเข้าจากสหรัฐ และเป็นการจุดฉนวนรอบใหม่

หลังจากก่อนหน้านี้จัดหนักมาตรการรีดภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียมรอบใหม่โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันพุธที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนี้ไม่มีประเทศคู่ค้าใดได้รับการยกเว้น รวมทั้งในวันที่ 2 เมษายน 2568 “โดนัลด์ ทรัมป์” จะดีเดย์ขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ได้ดุลการค้าสหรัฐมานาน ถือเป็นระลอกสำคัญ

แลกหมัดอัดภาษี

มาตรการภาษีล่าสุดของ “ทรัมป์” ที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ สหภาพยุโรป (EU) ประกาศออกมาตรการตอบโต้มูลค่ากว่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า โดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลากหลายประเภทครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเบอร์เบิน กางเกงยีนส์ ไปจนถึงสินค้าเกษตร

ขณะเดียวกัน รัฐบาลแคนาดา ประกาศลั่นว่าจะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ รวมมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงสินค้าประเภทเหล็ก คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์กีฬาแคนาดา โดยแคนาดาถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ และเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการภาษีรอบใหม่

ผลกระทบย้อนกลับ

ขณะที่ผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก กำลังส่งผลย้อนกลับให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีความแข็งแกร่งก็ตาม จากการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศ ที่จะทำให้สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบที่สั่นสะเทือนมากขึ้น

การค้าโลกทรุด

นอกจากนี้ผลกระทบจากสงครามการค้าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบการค้าโลกโดยรวม เมื่อประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีต่างหันไปขยายตลาดนอกสหรัฐฯ ทดแทน ทำให้สัดส่วนการค้าของสหรัฐฯ ในระบบการค้าโลกลดลง และในที่สุดปริมาณการค้าโลกทั้งหมดก็จะหดตัวตามไปด้วย เมื่อการค้าโลกลดลง จะไม่เป็นผลดีต่อระบบการค้าโลกอย่างแน่นอน

ไทยเสี่ยงโดนด้วย

ล่าสุดหากดูประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ พบว่า ไทย เกินดุลกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่ง “ทรัมป์” จะดูว่าไทยเกินดุลสินค้าอะไร และตั้งกำแพง อาจจะปรับขึ้นทั้งกระดานหรือดูแค่บางตัว สินค้าที่มีความเสี่ยง 20 อันดับแรกเกินดุลสหรัฐหมด และมีสินค้าที่ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐ เช่น ยางรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ อาหารสัตว์ เฟอร์นิเจอร์

โอกาสของไทยในเทรดวอร์

ขณะที่โอกาสของไทยมี 3 เรื่อง คือ 1.สหรัฐเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่จะปรับลง 2-3 ครั้ง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลด 1 ครั้ง คาดจะลดอีก 1-2 ครั้ง

2.ราคาพลังงานระยะสั้นจะถูกลง เพราะดีมานด์โลกโตช้าลง ซัพพลายจะเพิ่มขึ้นหลังสหรัฐประกาศขุดน้ำมัน-ก๊าซ ทำให้ราคาน้ำมันปรับลงมาอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ จากปีก่อน 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

3.การลงทุนจะเป็นผลดีระยะยาว ไทยได้อานิสงส์จากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิต การลงทุนผ่านบีโอไอ 2 ปีที่ผ่านมาสูงสุดในรอบ 10 ปี หลังอนุมัติจะใช้เวลาอีก 1-1 ปีครึ่ง จะเห็นเม็ดเงินลงทุนและเริ่มสร้างโรงงาน ที่ผ่านมาเป็นจีน 50% อีก 50% คือสิงคโปร์ ที่เป็นบริษัทจีน และยุโรป สะท้อนว่าไทยดึงดูดเม็ดเงินได้ทุกประเทศ เหยียบเรือหลายแคมได้

จากนี้ไปรัฐบาลคงต้องเตรียมแผนรับมือกับความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐ เพื่อวางแผนป้องกันความรุนแรง และฉกฉวยโอกาสจากปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อปรับตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการค้าในอนาคตต่อไป

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon