หุ้นไทยไปต่อไม่ไหว รายย่อยหมดแรงข้าวต้ม …เงินจมที่DR

261

  เห็นความพยายามของกระทรวงการคลังในการปลุกชีวิตตลาดหุ้นไทย ด้วยการประกาศ Thai ESGX ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจูงใจลงทุน  โดยจะรองรับเงินลงทุนของนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น 2 ส่วนด้วยกัน

ส่วนแรกมาจากเงินลงทุนกอง LTF เดิม ที่มีมูลค่า 1.8แสนล้านบาท สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท

ส่วนที่สองคือสามารถซื้อกองดังกล่าวเพิ่มเติมได้ อีก 3 แสนบาทในปี 2568 โดยจะต้องซื้อหน่วยลงทุนภายใน พ.ค. –  มิ.ย. 68

โดยยอมรับตรงๆ ว่าเป็นไปเพื่อ ….ป้องกันเงินไหลออกจากตลาดหุ้น

กระทรวงการคลังสวมบทบาทเป็นคุณหมอ รักษาอาการป่วยของตลาดหุ้นไทย การให้สิทธิภาษีจูงใจกระทรวงการคลังอาจมองว่าเป็นยาขนานเอก แต่ยังไม่ตรงกับอาการของคนไข้เท่าที่ควร หุ้นขึ้นมาเพียงชั่ววูบ หลังจากนั้นก็ดิ่งลงไปเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าจะยืนเหนือระดับ 1200 จุดได้

หากวิเคราะห์เหตุผลทำไมหุ้นไทยลงลึกมาขนาดนี้.. ยังไม่รีบาวน์เสียที..หุ้นไทยรีบาวน์กี่โมง

นั่นเป็นเพราะไม่มีแรงรับซื้อ….ต่างชาติไม่มาแน่นอน เพราะตลาดหุ้นไม่มีแรงดึงดูดพอ สินค้ามีแต่ของเดิมๆ สินค้าใหม่สวยไม่เตะตา ต่างจากหุ้นประเทศอื่นสวย เซ็กซี่เข้าตามากกว่า

นักลงทุนสถาบันในประเทศ… กลุ่มนี้ไม่เคยมีบทบาทพยุงตลาดหุ้นไทยมานานแล้ว อย่าไปคาดหวัง
นักลงทุนรายย่อย..นี่สิ..พระเอกตัวจริงที่คอยพยุงตลาดหุ้นมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงมักจะรีบาวน์แรงด้วยน้ำมือของนักลงทุนรายย่อยนี่แหละ.. แต่รอบนี้นักลงทุนรายย่อยหายไปไหน

ส่วนหนึ่งล้มหายตายจากเพราะขาดทุนจากหุ้นไทยไปหลายยก ถูกพิษมาหลายเด้ง..ทั้งฟอร์ซเซล …เจอHFT ฟันหัวแบะ กลายเป็นวิกฤตความเชื่อมั่น จนหลายคนขออำลา ขอเว้นวรรคหุ้นไทยไปซักระยะหนึ่ง

แต่ยังมีรายย่อยที่ยังยืนหยัดเหนียวแน่นกับการลงทุน แต่กลุ่มเงินเหล่านี้หายไปไหน…แห่แหนไหลไปลงทุนสนามไหนกัน…คำตอบที่พบคือไหลไปยังแหล่งที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า…นั่นคือ ตลาดหุ้นต่างประเทศ นอกจากจะไปลงทุนตรงแล้ว สามารถลงทุนผ่าน DR

จากข้อมูลสถิติของตลาดหลักทรัพย์พบว่าในปี 67 นั้น DR มีมูลค่าการซื้อขาย 5.9 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ามีมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 3.2 หมื่นลบ. ตัวเลขไม่ได้สูง แต่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูง

ข้อมูล ณ วันที่ 12 มี.ค. 68 พบว่า DR มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์แคปที่  3.2 หมื่นลบ. และDRX  อีก 2.5 พันลบ.  โดย DR ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุด 3 อันดับแรก คือ FUEVFVND01  มาร์เก็ตแคป 7.6 พันลบ. ตามด้วย E1VFVN3001 มีมาร์เก็ตแคป  5.3 พันลบ. และอันดับ 3 คือ BABA80 มาร์เก็ตแคป 4.5 พันลบ.

2 อันดับแรกไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ส่วน BABA80 ลงทุนใน อาลีบาบา  ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง

  อย่างไรก็ตาม DR ไม่ใช่ผู้ร้าย เพราะเป็นสินค้าทางเลือกให้กับนักลงทุน เป็นสินค้าที่จำเป็นต้องมีบนแผง เพียงแต่เจ้าของแผง เจ้าของตลาดต้องสร้างความสมดุล เพื่อไม่ให้เงินไหลเทไปข้างใดข้างหนึ่ง  เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการที่ DR ได้รับความนิยม จะกลับไปเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตลาดหุ้นต่างประเทศแทน

ขณะนี้เงินลงทุนของนักลงทุนรายย่อยไปกระจุกที่ DR ทำให้นักลงทุนย่อมต้องคิดหนักจะขายเงินลงทุนที่อยู่ใน DR ซึ่งมีผลตอบแทนที่ดีอยู่แล้ว มาซื้อหุ้นไทยเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดีหรือไม่ อันไหนจะคุ้มกว่ากัน

“แม้ว่าเราจะเป็นบริษัทผู้ออกDR ก็ตามที แต่ไม่ได้อยากให้ DR มีปริมาณการซื้อขายที่มากเกินไป เพราะในฐานะโบรกเกอร์ ย่อมต้องการเห็นตลาดหุ้นไทย หุ้นไทย มีความมั่งคั่งมากกว่า เป็นสิ่งที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดหุ้นไทยมากกว่า แต่มันไม่มีทางเลือกในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยไม่มีสินค้าที่น่าจูงใจ” ผู้บริหารโบรกเกอร์รายหนึ่งกล่าว

การฟื้นฟูตลาดหุ้นไทยไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขภายในระยะเวลาชั่วครู่ชั่วยาม เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นถูกสั่งสมมานานเกินไป           เรื่องนี้ต้องแก้ทีละเปลาะ เราเริ่มเห็นมาตรการหยุดเงินไหลออกจากหุ้น ขณะเดียวกันในส่วนสินค้าต้องน่าสนใจ

ทั้งนี้ เริ่มเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์พยายามปัดกวาดให้สินค้าบนแผงให้น่ามอง ด้วยการคลอดโครงการ “Jump+” สร้างความเข้มแข็งให้กับบจ. กระตุ้นการเติบโต เหมือนปลุกเสือให้ตื่นจากหลับไหล เป็นโครงการที่ต้องใช้ระเวลา อาจไม่ทันใจใครหลายคน เพราะกว่าจะเห็นผลมันช้า แต่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะยาวหากโครงการนี้ ปังขึ้นมา

  ถึงเวลาเป่ามนต์ ท่องคาถาเรียกนักลงทุนไทยให้กลับมาเทรดตลาดหุ้นบ้านเรากันแล้ว…โอมมเพี้ยงงง

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon