Pi Daily Bloomberg ชี้หุ้นไทยต้องการแรงกระตุ้นมากกว่านี้ และการพึ่งพิงแต่ท่องเที่ยวถือเป็นความเสี่ยง

20

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 353 จุด (+0.85%) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ได้ปัจจัยหนุนจากนักลงทุนช้อนซื้อหุ้นหลังตลาดปรับฐานช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงความหวังว่ารัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มสิ้นสุดลง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.7%

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานยอดค้าปลีกขยายตัวเพียง 0.2%MoM ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 0.6%MoM โดยสินค้าเกี่ยวข้องกับยานยนต์หดตัวลง (-0.4%MoM) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (-0.3%MoM) เสื้อผ้า (-0.6%MoM) สินค้าที่หดตัวสะท้อนถึงความมั่นใจการบริโภคที่ลดลง เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าคงทนที่จะซื้อก็ต่อเมื่อมั่นใจต่อสภาพการเงินและอนาคตรายได้ที่สดใส การลดลงอาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงตามคาดการณ์รายได้และเงินเฟ้อที่สูงขึ้นแต่อย่างไรก็ตามหลังจากรายงานพบว่า US Bond Yield ปรับขึ้นเล็กน้อย ส่วนนึงที่นักลงทุนมิได้กระทำใดมากเพราะอาจรอดูผลประชุม FED ในช่วงคืนวันพุธ ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ Bloomberg นำเสนอมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย โดย SET INDEX ปรับลง 16% (YTD) นับเป็นดัชนีที่ให้ผลตอบแทนย่ำแย่สุดในจาก 92 ดัชนีที่ Bloomberg พิจารณาอยู่และนักลงทุนต่างชาติก็ขายสุทธิราว 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (สูงสุดในอาเซียน อิงข้อมูลจาก Bloomberg) Bloomberg ตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุผลหลักที่ต่างชาติขายมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงกดดันเศรษฐกิจ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง และคดีต่างๆของบริษัทจดทะเบียนไทย

นอกจากนี้แล้วเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวมากเกินไป ก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ แม้หุ้นไทยจะไม่แพงแต่ก็ยากที่จะโน้มน้าวให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน ขณะที่กองทุนวายุภักษ์ก็ถือว่าล้มเหลวในการพยุงหุ้นไทยเพราะลงทุนไปแล้ว 50-60% แต่ดัชนียังคงปรับลงต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่จะเรียกความเชื่อมั่นได้เห็นทีจะอยู่ที่ภาครัฐบาล จากข้อความข้างต้นทั้งหมดมาจาก Bloomberg ซึ่งหากมองสิ่งที่กล่าวมาก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความน่าสนใจที่น้อยลงจากปัจจัยพื้นฐาน การลงทุนจึงควรเน้นหาหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม Bloomberg ประเมินไว้ที่ 0.2%MoM วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1160 – 1180 ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนการเลือกหุ้นมีความจำเป็นค่อนข้างมาก ท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลออกและปัจจัยพื้นฐานมิได้โดดเด่น เราชอบหุ้นที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม มีความสามารถในการแข่งขัน อำนาจต่อรองค่อนข้างสูงทั้งกับลูกค้าและผู้ป้อนวัตถุดิบ อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) โรงพยาบาล (BDMS) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT)

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จาก 1) ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% YoY) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ (+11% YoY) 2) จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts YoY) และ 3) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

WHA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 5.20 บาท)
การนำ WHAID เข้าจดทะเบียนเลื่อนไปอย่างน้อย 2-3 ปี โดยไม่กระทบกับแผนการลงทุนที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้บริหารให้เหตุผลว่า เงินที่ได้จากการ spin off ส่วนหนึ่งเตรียมไว้สำหรับการ M&A กิจการที่มองว่ามีโอกาสเสริมธุรกิจของ WHA ส่วนแผนการเพิ่มพื้นที่เช่าอีก 200000 ตร.ม. ทางผู้บริหารมีความมั่นใจเพราะจะมีการตั้งโรงงานเพิ่มที่เวียดนามหลายที่

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon