มิติหุ้น – เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ทำให้เดือนมีนาคมนับเป็นสัญลักษณ์ที่เน้นย้ำความสำคัญของบทบาทสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งหลายหน่วยงานจากทั้งภาครัฐและเอกชนจะร่วมจัดกิจกรรม
เป็นประจำทุกปี ก.ล.ต. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนไทยก็ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม Ring the Bell for Gender Equality 2025 โดยร่วมกับองค์การเพื่อความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ตามแผนดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทสตรีในตลาดทุนไทยของ ก.ล.ต.
และนอกจากความมุ่งเน้นในการส่งเสริมทักษะที่จำเป็นให้กับสตรีและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเหมาะสมแล้ว แนวทางการขับเคลื่อนของแผนยังเน้นเรื่องการเพิ่มบทบาทสตรีในระดับผู้นำองค์กร
โดยเฉพาะกรรมการและผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียน[1] ซึ่งประเด็นเรื่องความหลากหลายในองค์ประกอบ
ของคณะกรรมการ (Board Diversity) เป็นส่วนหนึ่งของหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับสากล
สำหรับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับสากลได้กล่าวถึงความสำคัญของกรรมการและผู้บริหารหญิง
เช่น G20/OECD Principles of Corporate Governance 2023 (OECD CG Principles) ฉบับล่าสุดขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development)[2] ได้เพิ่มประเด็นที่เน้นความสำคัญของความหลากหลายทางเพศ (Gender Diversity) ในระดับคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงว่ามีส่วนช่วยลดการคิดแบบคล้อยตาม หรือ Groupthink ทำให้เกิดมุมมองที่หลากหลาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์คณะโดยรวม นำไปสู่ทางเลือกหรือคำตอบ ที่เป็นประโยชน์ และสามารถทำให้มีผลประกอบการที่ดีขึ้นได้ สอดคล้องกับบทความของ McKinsey[3] ที่ได้สำรวจ 1,265 บริษัทใน 23 ประเทศ พบว่า บริษัทที่มีสัดส่วนกรรมการหญิงมากกว่าร้อยละ 30 มีผลประกอบการทางการเงินดีกว่าบริษัทที่มีสัดส่วนกรรมการหญิงน้อยกว่าร้อยละ 30 นอกจากนี้ การมีผู้นำสตรีจะสามารถช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรที่เน้นแนวคิดความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equality and Inclusion) ซึ่งเป็นปัจจัยสังคมที่ได้รับความสำคัญมากขึ้น สอดรับกับรายงานของ World Economic Forum[1] ที่พบว่า พนักงาน Gen Z จะไม่ทำงานในองค์กร ที่ไม่มีความหลากหลายในระดับผู้นำ ในส่วนแนวปฏิบัติเพื่อส่งเสริมและยกระดับความหลากหลายทางเพศ ในคณะกรรมการ บางประเทศได้กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนต้องมีสัดส่วนกรรมการหญิงตามเกณฑ์กำหนด (Gender Quota) เช่น สหภาพยุโรปได้ออก Gender Balance on Corporate Boards Directive[2] ให้บริษัทจดทะเบียนพิจารณากำหนดสัดส่วน underrepresented gender (ชนกลุ่มน้อยทางเพศที่มักถูกมองข้าม) เป็นร้อยละ 40 ของกรรมการที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร หรือร้อยละ 33 ของคณะกรรมการภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2569 และ Bursa Malaysia ก็ได้กำหนดให้ทุกบริษัทจดทะเบียนต้องมีกรรมการหญิงอย่างน้อย 1 คน ในขณะที่ UK Financial Conduct Authority กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลสำหรับสัดส่วนกรรมการหญิงที่บริษัทจดทะเบียนควรจะมีอย่างน้อยร้อยละ 40 รวมถึงการมีผู้บริหารระดับสูงเป็นเพศหญิงอย่างน้อย 1 คน และหากไม่สามารถดำเนินการได้ตามข้างต้น ต้องอธิบายเหตุผลประกอบ[3]
สำหรับประเทศไทย ก.ล.ต. ได้จัดทำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียน ปี 2560
(CG Code) ที่มีหลักและแนวปฏิบัติครอบคลุมเรื่อง Board Diversity ซึ่งแนะนำให้กรรมการบริษัทจัดทำ skills matrix หรือตารางองค์ประกอบความรู้ความชำนาญของกรรมการ เพื่อคัดเลือกกรรมการที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับเป้าหมายและลักษณะธุรกิจ ช่วยให้คณะกรรมการสามารถกำหนดทิศทางธุรกิจในอนาคต
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น[4] และต่อมา ก.ล.ต. ได้จัดทำคำแนะนำประเด็นความหลากหลายทางเพศ
ของคณะกรรมการ (Gender Diversity) เพื่อเสริมแนวปฏิบัติของ CG Code ซึ่งแนะนำให้คณะกรรมการพิจารณาสัดส่วนกรรมการหญิงให้เป็นอย่างน้อยร้อยละ 30 โดยกำหนดเป็นนโยบาย เป้าหมายหรือตัวชี้วัด ตลอดจนจัดทำรายงานความคืบหน้า โดยสามารถนำคำแนะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของธุรกิจตน
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ ก.ล.ต. พบว่า ณ สิ้นปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียน 242 แห่ง หรือประมาณร้อยละ 28
ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดที่มีสัดส่วนกรรมการหญิงตั้งแต่ร้อยละ 30 ซึ่งเป็นตัวเลขสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2564 ที่ ก.ล.ต. ได้จัดทำแผนดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทสตรีในตลาดทุนไทย[1]
นอกจากนี้ รายงาน Gender Equality in Corporate Leadership: G20 and Regional Analysis 2024
ที่จัดทำโดย UN Sustainable Stock Exchanges Initiative และ International Finance Corporation พบว่า เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนผู้บริหารหญิงระดับสูงของบริษัทจดทะเบียนในไทยกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า บริษัทจดทะเบียนไทยมีสัดส่วน CEO หญิงที่ร้อยละ 12 ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม (ร้อยละ 8) นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนไทยมีสัดส่วน CFO หญิงมากที่สุด (ร้อยละ 49) จากตลาดทุนทั้งหมด 35 ประเทศ[2]
แม้ข้อมูลที่นำเสนอข้างต้นสะท้อนได้ว่า จำนวนสตรีไทยในระดับผู้นำองค์กรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับสากล อย่างไรก็ดี ผลการประเมินโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนล่าสุดในปี 2567 (Corporate Governance Report) ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการ
บริษัทไทย พบว่า บริษัทจดทะเบียนไทยที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานด้านความหลากหลาย
ในคณะกรรมการยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย (ร้อยละ 22)[3] ดังนั้น บทบาทของกรรมการหญิงจึงเป็นประเด็น
ที่บริษัทจดทะเบียนยังสามารถพัฒนาต่อไปได้ โดยนำมาเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาความเหมาะสมขององค์ประกอบ คณะกรรมการ เพื่อทำให้เกิดมุมมองที่หลากหลายและรอบด้าน ตลอดจนเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานและบทบาทของคณะกรรมการในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดีต่อไป
[1] สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Gender Corner microsite Thai Dashboard
[2] Gender equality in corporate leadership-G20 & Regional Analysis 2024 โดยเก็บรวบรวมจาก top 100 บริษัทจดทะเบียนของ 35
ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก โดยประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี 5 ประเทศ ได้แก่ 1. มาเลเซีย 2. สิงคโปร์ 3. ฟิลิปปินส์ 4. ไทย และ 5. อินโดนีเซีย
[3] https://thai-iod.com/imgUpload/CGR%20Announcement%202024.pdf
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon