มิติหุ้น – Trend Spotter
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันศุกร์ที่ผ่านมาเล็กน้อย โดย DJIA (+0.08% dod, +1.20% wow), Nasdaq (+0.52% dod, +0.17% wow), S&P500 (+0.08% dod, +0.51% wow) หลังจาก Donald Trump ให้ความหวังว่ามาตรการตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ประกาศไว้ก่อนหน้าอาจไม่รุนแรงอย่างที่กังวลกันและจะใช้ความยืดหยุ่นต่อแผนการเรียกเก็บภาษี ที่จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.
นอกจากนี้วันศุกร์ที่ผ่านมา Donald Trump กล่าวว่ามีแผนจะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หลังจากที่จีนประกาศเก็บภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐ เพื่อตอบโต้การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน
ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกในวันศุกร์ และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน ที่ US$68.28/bbl (+0.31% dod, +1.64% wow) ได้แรงหนุนจากอุปทานจะตึงตัวขึ้น เนื่องจาก 1) สหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน โดยสหรัฐฯ ดำเนินการเป็นรอบที่ 4 ในการคว่ำบาตรอิหร่านตั้งแต่ Donald Trump ให้คำสัญญาว่าจะลดการส่งออกน้ำมันอิหร่านให้เป็นศูนย์ 2) แผนการลดกำลังการผลิตของ OPEC+ เพื่อชดเชยการผลิตที่เกินกำลังการผลิตหรือ Oversupply จนถึงเดือน มิ.ย. 2026
• SET Index : เราคาดว่า SET Index สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบบริเวณ 1,160-1,200 จุด ท่ามกลางตลาดหุ้นไทยที่ยังขาดปัจจัยหนุนสำคัญ โดยในระยะกลางเราเชื่อว่านักลงทุนยังจับตามาตรการตอบโต้สหรัฐ (Reciprocal Tariffs) ที่จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.
ในระยะสั้น ตลาดอาจรีบาวด์จากตลาดหุ้นไทยมี Valuation ไม่แพง และ ท่าที Reciprocal tariffs ที่ผ่อนปรน
นอกจากนี้วันศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกไทย เดือน ก.พ. ขยายตัว 14% yoy ในเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน นอกจากนี้ เราเชื่อว่ามาตรการ Donald Trump จะหนุนยอดคำสั่งซื้อใน 1Q25
สำหรับสัปดาห์นี้ ติดตาม
1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี จีน (LPR) ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.0% วันอังคาร
2) จำนวนผู้ยื่นสวัสดิการว่างงานสหรัฐ ตลาดคาด 225k ตำแหน่ง (vs. เดือนก่อน 223k ตำแหน่ง) วันพฤหัสฯ
3) ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ก.พ. ตลาดคาดทรงตัว 2.5% yoy, ดัชนีการบริโภคพื้นฐาน (Core PCE) 2.7% yoy (เดือนก่อน 2.6% yoy) วันศุกร์
สำหรับหุ้นในประเทศ ตามสื่อในประเทศรายงานข่าวโดยไม่อ้างแหล่งข่าวว่า KTB และ TTB กำลังศึกษาการควบรวมกิจการ โดยวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้บริหารจาก KTB และ TTB ชี้แจ้งว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ดี เราคาดว่าหากข่าวนี้เป็นจริง อาจทำให้เกิดธนาคารแห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของไทยที่มีมูลค่าสินทรัพย์ราว 5.56 ล้านล้านบาท และสินเชื่อรวมราว 3.96 ล้านล้านบาทในปี 2025F
เราเชื่อว่าการควบรวมจะสร้าง Synergy โดยจะทำให้ KTB ก้าวเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ (ปัจจุบันยังไม่มี) และยังได้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านการบริหารความมั่งคั่งจาก TTB รวมถึงได้รับ Economics of scales และลดสินทรัพย์ที่ทับซ้อน
• หุ้นแนะนำ
SCB : ท่ามกลางนโยบายภาษี Donald Trump ที่ไม่แน่นอน เราเชื่อว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 9% ในปี FY25F จะช่วยหนุนราคาหุ้น และเราเชื่อว่าอัตราการตั้งสำรองหนี้สูญจะลดลงในปี FY25-27F (Take profit : 128 / Stop loss : 121)
ITC : เราแนะนำ Trading จากตัวเลขส่งออกอาหารสัตส์เดือน ก.พ. 68 ที่ัยังแข็งแกร่ง โดยผู้บริหารยังคงมั่นใจว่า ITC สามารถรับมือกับภาษีศุลกากรของสหรัฐได้ เนื่องจากลูกค้าไม่สามารถหาสินค้าทดแทนที่มีราคาแข่งขันได้ในตลาดในประเทศ
(Take profit : 17.6 / Stop loss : 15.8)
#MacroWealthResearch
#CGSInternational
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon