มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวกเพียง 32 จุด (+0.08%) แต่ก็นับเป็นการฟื้นตัวจากติดลบในช่วงเช้าหลังจากที่ Trump ประกาศว่าภาษีศุลกากรที่จะเริ่มในเดือน เม.ย. อาจไม่รุนแรงอย่างที่กังวลกัน ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.2% และปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองแรงหนุนจากมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน
คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาฝั่งสหรัฐฯมิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีเพียง Trump ได้สื่อสารกับนักข่าวพร้อมสื่อสารว่าหลายท่านมาหาผมและขอร้องให้สหรัฐฯยกเว้นภาษีนำเข้าหากยกเว้นให้หนึ่งคนก็อาจจะต้องอนุญาตให้ทุกคนเช่นกัน ดังนั้นสหรัฐฯจึงยังไม่เปลี่ยนใจแต่ก็อาจยืดหยุ่นได้และพร้อมปรับเปลี่ยนได้ตามการเจรจาจากปัจจัยข้างต้นทำให้นักลงทุนผ่อนคลายลงเล็กน้อย สะท้อนผ่านเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเร่งขึ้น ราคาทองคำปรับลงและตลาดหุ้นปรับขึ้นซึ่งอาจจะหนุนตลาดหุ้นไทยระยะสั้น โดยสัปดาห์นี้นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯประกอบไปด้วย (1) ดัชนี PMI เบื้องต้นทั้งภาคบริการและผลิตของสหรัฐฯและยุโรปในวันจันทร์ (2) ยอดขายบ้านหลังแรกและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯในคืนวันอังคาร Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 6.82 แสนหลังคาและ 94.2 (3) ตัวเลขสำคัญอย่างเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) ในคืนวันศุกร์ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ที่ 2.7%YoY หากต่ำกว่าคาดการณ์จะเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นและตลาดทองคำ จากการคลายกังวลดอกเบี้ย FED สำหรับปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้รายงานการค้าระหว่างประเทศประจำเดือน ก.พ. พบว่าขยายตัว 14%YoY สูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 8%YoY กระทรวงพาณิชย์ระบุว่าปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคผลิตของหลายประเทศที่อยู่ในภาวะขยายตัว
โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง จากการเตรียมความพร้อมปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯรวมไปถึงเงินเฟ้อที่ลดลงและดอกเบี้ยเป็นอีกปัจจัยหนุน สินค้าเกษตรที่ขยายตัวได้แก่อาหารสัตว์เลี้ยง (+14%YOY) ยางพารา (+36%YoY) สินค้าอุตสาหกรรมได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ (+51%YoY) รถยนต์ (+4.5%YoY) สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในประเทศรอติดตามแถลงภาวะเศรษฐกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทยและดุลการค้าหากเกินดุลจะเป็นปัจจัยหนุนต่อค่าเงินบาท ประเมินกรอบ SET INDEX สัปดาห์นี้ที่ 1170 – 1220 มีแรงหนุนเล็กน้อยจากการประกาศของ Trump แต่เชื่อว่า Upside ยังจำกัดเพราะปัจจัยพื้นฐานมิได้แข็งแกร่งทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำจึงเน้นที่การเลือกหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง เป็นผู้นำอุตสาหกรรมและมีอำนาจต่อรองกับลูกค้า อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) โรงพยาบาล (BDMS)
BJC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1.6 พันล้านบาท (+0.4%YoY) และมีกำไรปกติที่ 1.5 พันล้านบาท (-11%YoY, +60%QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราและ BB consensus คาด กำไรลดลง YoY รับแรงกดดันจากภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามกำไรก่อนภาษียังเติบโตแข็งแกร่ง 21% YoY รับปัจจัยบวกจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากมาตรการภาครัฐ สะท้อนผ่านการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ช่วงเดือน ม.ค. 2025 ที่ +1% ถึง +3% และคาดว่าจะมีแนวโน้มดีต่อเนื่องในเดือน ก.พ. 2025 รับแรงหนุนจากมาตรการลดหย่อนภาษี
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 17.60 บาท)
ผลประกอบการปี 25 ของ TU ยังเห็นการเติบโตได้ แต่ไม่มากนักเพราะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 300-350 ล้านบาท เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิใหม่ที่ 5,012 ล้านบาท (+1%YoY) โดยทางผู้บริหารจะหันมาเน้นการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการตั้งเป้าเติบโต 3-4% ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารแช่แข็งที่สิ้นสุดมาตรการ Right Sizing แล้ว หรือธุรกิจอาหารแปรรูปที่จะเน้นสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้นโดยเฉพาะที่ยุโรป
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon