สรุปภาพรวมและการวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย (SET) รายวัน ด้วยโปรแกรม Advanced GET ตามแนวทาง Elliott Wave อย่างละเอียด อ้างอิงข้อมูล 21/03/25 มีประเด็นสำคัญดังนี้:
________________________________________
สรุปสถานการณ์ตลาด (ภาพรวมใหญ่):
- ตลาดหุ้นไทยอยู่ในแนวโน้มขาลงใหญ่ (Major Downtrend)
โดยดัชนี SET เริ่มปรับฐานจากจุดสูงสุดที่ 1506.82 จุด ลงมาสู่จุดต่ำสุดล่าสุดที่ระดับ 1157.96 จุด
- ภาพใหญ่ปรากฏการลงแบบ Impulse Wave ครบ 5 คลื่นย่อย (Wave 1-5 ขาลงชัดเจน)
o รวมระยะที่ลดลง: 348.86 จุด
o ใช้เวลาปรับฐานขาลงรอบนี้ประมาณ 98 วันทำการ (ประมาณ 5 เดือน)
________________________________________
สถานการณ์ล่าสุด (ระยะสั้น):
- หลังจากแตะจุดต่ำสุดที่ 1157.96 จุด ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นสั้นๆ (Corrective Wave หรือ Rebound Wave) ไปทดสอบระดับ 1210.39 จุด ซึ่งการฟื้นตัวนี้ควรเกิดช่วงปลายมีนาถึงต้นเมษา
- ราคาปิดล่าสุด ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 1186.61 จุด
ถือว่ายังอยู่ในโซนล่างของการฟื้นตัวระยะสั้น และใกล้แนวรับสำคัญเดิม
________________________________________
กรอบวิเคราะห์และแนวต้าน-แนวรับสำคัญ (Fibonacci):
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุด และราคาปัจจุบัน 1186.61 จุด จะตีกรอบวิเคราะห์ระยะสั้น โดยให้ความสำคัญกับแนว Fibonacci Extension 127.2% ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1210 จุด
แนวรับสำคัญ:
- 1157-1160 จุด (จุดต่ำสุดเดิม Wave 5) ย่อย
หากดัชนียังไม่หลุดต่ำกว่าระดับนี้ ถือว่ายังคงมีโอกาสฟื้นตัวได้อีกครั้ง
แนวต้านสำคัญ:
- 1210 จุด (Fibonacci 127.2%)
เป็นด่านแรกที่ SET ต้องผ่านให้ได้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น
- หากผ่านได้จะมีเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 1230-1250 จุด (โซน Fibonacci 138.2%-161.8%) ซึ่งจะถือเป็นเป้าหมายระยะสั้นที่สำคัญถัดไป
________________________________________
สัญญาณสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง:
กรณีขาขึ้น (Bullish Case):
- หากดัชนีสามารถยืนเหนือระดับ 1210 จุด ได้ จะเกิดสัญญาณการกลับตัวขึ้นระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ
- เป้าหมายต่อไปคือบริเวณ 1230-1250 จุด
- นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์เทรดฝั่งซื้อ (Long) ระยะสั้น เมื่อดัชนีทะลุผ่าน 1210 จุด และมี Stop Loss ต่ำกว่า 1180 หรือ 1160 จุด (ตามความเสี่ยงที่รับได้)
กรณีขาลง (Bearish Case):
- หากดัชนีปรับขึ้นแต่ไม่ผ่าน 1210 จุด หรือไม่สามารถยืนเหนือได้ และกลับมาหลุดต่ำกว่าแนวรับ 1157 จุด อีกครั้ง
- ถือเป็นสัญญาณเชิงลบชัดเจน โดยอาจเกิดขาลงรอบใหม่ ซึ่งอาจจะลงไปต่ำกว่า 1157 จุดได้อีก นักลงทุนควรระวังการถือหุ้นและบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
________________________________________
ข้อแนะนำเพิ่มเติม (เพื่อการลงทุนที่ปลอดภัย):
- ติดตามการทดสอบแนวต้านสำคัญ 1210 จุด อย่างใกล้ชิด
- หากยังไม่ผ่านแนวต้านดังกล่าว ควรรอจังหวะที่ชัดเจนก่อนการลงทุน
- ใช้ Indicator อื่นๆ ประกอบ (เช่น MACD, RSI, Oscillator) ร่วมกับ Elliott Wave เพื่อยืนยันแนวโน้ม
________________________________________
บทสรุปสำคัญที่ต้องจับตาในตอนนี้:
- ราคาปัจจุบัน (1186.61) อยู่ใกล้โซนสำคัญคือ 1210 จุด
- แนวรับสุดท้ายที่ต้องไม่หลุด: 1157-1160 จุด
- ตลาดจะพลิกกลับเป็นขาขึ้นระยะสั้นเมื่อทะลุผ่าน 1210 จุด
- หากไม่ผ่าน 1210 จุดและหลุด 1157 จุดอีกครั้ง ต้องระวังการปรับตัวลงรอบใหม่อย่างจริงจัง
________________________________________
การวิเคราะห์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนในระยะสั้นและกลางครับ
________________________________________
Elliott Wave (คลื่นเอลเลียต) คือ ทฤษฎีที่ใช้อธิบายพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น ทองคำ ค่าเงิน หรือคริปโต โดยเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของราคามีลักษณะเป็นรอบคลื่นที่ชัดเจน สามารถนำไปใช้วิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคตได้
ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ในช่วงปี 1930 โดยมีหลักการสำคัญดังนี้
________________________________________
หลักการเบื้องต้นของ Elliott Wave
ตามทฤษฎีนี้ราคาจะเคลื่อนไหวเป็น “คลื่น” (Wave) ซึ่งมีทั้งหมด 2 รูปแบบ คือ:
- Impulse Wave (คลื่นส่ง, คลื่นขาขึ้น/ลงตามแนวโน้มหลัก)
จะมีทั้งหมด 5 คลื่น ประกอบด้วย
o คลื่นที่ 1 (ขึ้น)
o คลื่นที่ 2 (พักฐานเล็กน้อย)
o คลื่นที่ 3 (ขึ้นแรงที่สุดและชัดเจนที่สุด)
o คลื่นที่ 4 (พักฐานอีกครั้ง)
o คลื่นที่ 5 (ขึ้นอีกครั้ง แต่แรงน้อยกว่าคลื่น 3)
- Corrective Wave (คลื่นปรับฐาน)
หลังจากจบ Impulse Wave แล้ว ราคาจะมีการปรับฐานเป็น Corrective Wave จำนวน 3 คลื่น คือ
o คลื่น A (ลง)
o คลื่น B (ขึ้นกลับมาเล็กน้อย)
o คลื่น C (ลงอีกครั้ง ชัดเจนกว่าคลื่น A)
สรุปรูปแบบมาตรฐานจะเป็น:
- ขาขึ้น : 5 คลื่น (1-2-3-4-5)
- ขาลง : 3 คลื่น (A-B-C)
________________________________________
กฎพื้นฐานของ Elliott Wave
ในการวิเคราะห์คลื่น Elliott มีข้อกำหนดที่ต้องจำให้ขึ้นใจ คือ:
- คลื่นที่ 2 ต้องไม่ลงต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 3 ต้องไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุดในบรรดา 1,3,5 (โดยทั่วไปจะยาวที่สุด)
- คลื่นที่ 4 ต้องไม่ย้อนกลับไปทับซ้อนกับคลื่นที่ 1
________________________________________
ความสำคัญและการนำไปใช้งาน
Elliott Wave ถูกนำไปใช้วิเคราะห์แนวโน้มตลาดได้หลายแบบ ได้แก่
- การระบุแนวโน้ม ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
- การคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา เพื่อหาโอกาสในการเข้าซื้อหรือขาย
- ช่วยวางแผนกลยุทธ์การเทรดและการบริหารความเสี่ยง ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
________________________________________
ข้อควรระวังในการใช้งาน
แม้ Elliott Wave จะเป็นเครื่องมือที่ดี แต่ในทางปฏิบัติก็มีความซับซ้อนและอาจมีการตีความที่หลากหลาย ดังนั้น ควรนำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ เช่น Fibonacci, RSI หรือ Trend Line เป็นต้น
________________________________________
สรุปง่ายๆ: Elliott Wave คือการวิเคราะห์ตลาดผ่านการนับ “คลื่น” เพื่อให้รู้แนวโน้มและจังหวะเข้าออกที่เหมาะสม เป็นทฤษฎีที่มีประโยชน์แต่ต้องใช้ความเข้าใจและประสบการณ์ในการนำไปใช้จริง
ที่มา : ม้าเฉียวดูหุ้น The Future
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon