Pi Daily หุ้นต่างประเทศฟื้นตัวอาจเข้ามาหนุนหุ้นไทยระยะสั้น

38

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 597 จุด (+1.4%) หลังจากมีสัญญาณว่าทรัมป์จะใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้เจาะจงเป้าหมายมากกว่าจะบังคับใช้เป็นวงกว้าง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.2% หลังจากผู้นำสหรัฐฯประกาศจะเก็บภาษี 25% จากประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานดัชนี PMI ภาคบริการและภาคผลิตเบื้องต้น (Flash PMI) พบว่าดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะภาคบริการ ทำให้ระยะสั้นนักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ตราสารหนี้และทองคำ โดยพบตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นเด่นเมื่อคืนที่ผ่านมา (S&P500 +4% กลุ่มที่ Outperform ได้แก่สินค้าฟุ่มเฟือย , สื่อสาร) ประกอบกับนักลงทุนมองปัจจัยกดดันอย่างภาษีอาจมิได้รุนแรงมากนักและเป็นเพียงเครื่องมือในการต่อรอง ด้านปัจจัยในประเทศตลาดหุ้นไทยค่อนข้างซีมตัว ด้วยมูลค่าซื้อขายเพียง 2.3 หมื่นล้านบาทต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 2023 ปิดตลาดปรับขึ้น 3.4 จุด (+0.29%) โดยการเคลื่อนไหวของนักลงทุนรายใหญ่ก็ค่อนข้างทรงตัว นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 698 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 82 ล้านบาทยังคงเป็นภาวะที่ไร้ปัจจัยใหม่ๆ

โดยเฉพาะปัจจัยในประเทศหลังสะท้อนปัจจัยผลประกอบการ นโยบายการเงิน และกองทุนต่างๆจากภาครัฐไปแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจไทยในภาพรวมการฟื้นตัวก็ยังจำกัดและมีสัญญาณอ่อนแรงจากภาคท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มขยายตัวลดลง ซึ่งทำให้การฟื้นตัวยังจำกัด แม้ระยะสั้นอาจได้แรงหนุนจากตลาดต่างประเทศบ้างก็ตาม คืนนี้รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย (1) ยอดขายบ้านมือหนึ่งของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 6.82 แสนหลังคาเรือน (2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากสถาบัน CB Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 94.2 หากมากกว่าคาดการณ์ประเมินเป็นบวกกับตลาดผ่านการคลายความกังวลเศรษฐกิจถดถอย วันนี้ไม่มีประชุมคณะรัฐมนตรีเพราะมีการรายงานว่าเลื่อนออกไปเป็นวันพฤหัสบดีเพราะกำลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ก็เชื่อว่าจะจบลงด้วยดีและไม่น่ามีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1180 – 1200 อาจมีแรงหนุนจากตลาดหุ้นต่างประเทศแต่ Upside ยังจำกัดด้วยปัจจัยพื้นฐานไทยที่ยังไม่แข็งแกร่ง ล่าสุด AOT รายงานจำนวนผู้โดยสารต่างชาติในช่วง 1 – 22 มี.ค. (-0.2%YoY) และหากเทียบกับช่วงปี 19 (-14%) วันนี้คาดว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะรายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเช่นกันแนะรอติดตาม ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นกลยุทธ์เลือกเป็นรายตัวในหุ้นที่ความสามารถแข่งขันสูง อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CPALL) โรงแรม (CENTEL MINT) ส่งออก (ITC TU) การเงิน (MTC TIDLOR)

BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 172.00 บาท)

แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยลดลงส่งผลให้ NIM อ่อนตัวลง และทำให้กำไรสุทธิใรปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัว เรามองว่า BBL มีงบดุลแข็งแกร่ง และ Valuation ที่ไม่แพงซื้อขายที่ 0.5x PBV’25E หากเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ราว 5.8% ในปี 2025 แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 1Q25 เราคาดกำไรสุทธิที่ 11.8 พันล้านบาท (+12% YoY, +13% QoQ)

TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 17.60 บาท)

ผลประกอบการปี 25 ของ TU ยังเห็นการเติบโตได้ แต่ไม่มากนักเพราะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 300-350 ล้านบาท เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิใหม่ที่ 5,012 ล้านบาท (+1%YoY) โดยทางผู้บริหารจะหันมาเน้นการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการตั้งเป้าเติบโต 3-4% ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารแช่แข็งที่สิ้นสุดมาตรการ Right Sizing แล้ว หรือธุรกิจอาหารแปรรูปที่จะเน้นสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้นโดยเฉพาะที่ยุโรป

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon