มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 155 จุด (-0.37%) ถูกกดดันจากการปรับขึ้นภาษีของ Trump ฉุดหุ้นกลุ่มผลิตรถยนต์ลดลงอย่างหนัก ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.3% นักลงทุนขานรับปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่ลดลงมากกว่าคาดการณ์
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงาน GDP 4Q24 (ครั้งสุดท้าย) ขยายตัวได้ 2.4%QoQ ดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.3%QoQ แรงหนุนมาจากการบริโภคโดยเฉพาะสินค้าคงทน (+12%QoQ ดีขึ้นจาก 3Q24 ที่ 7.6%QoQ) พร้อมกับการใช้จ่ายภาคบริการ (+3%QoQ ดีขึ้นจาก 3Q24 ที่ 2.8%QoQ) แต่ถึงอย่างนั้นนักลงทุนก็ดูจะไม่ได้ให้น้ำหนักกับตัวเลขข้างต้นมากนัก เพราะกังวลกับการปรับขึ้นภาษีของ Trump ประกอบกับตัวเลข GDP เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วแต่ตัวเลขอนาคตเป็นสิ่งที่นักลงทุนสนใจมากกว่า ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันสะท้อนผ่านเงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย (Bond Yield ปรับลง , ทองคำปรับขึ้น) เป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นไทย ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รายงานว่ามติของที่ประชุมได้ผ่านร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex ซึ่งรัฐบาลได้คาดการณ์ว่าจะเกิดการสร้างรายได้ สร้างงาน ส่งเสริมการท่องเที่ยวพร้อมกับดึงเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี
โดย Casino จะเป็นเพียง 10% ของโครงการนี้เท่านั้นส่วนที่เหลือจะประกอบไปด้วย สวนน้ำ สวนสนุก ร้านอาหาร โรงแรม ที่แสดงคอนเสิร์ต จะหนุนรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นราว 1.1 – 2.3 แสนล้านบาท พร้อมกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเพิ่มขึ้น 5-10% ต่อปีและในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวก็จะหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 13% สำหรับรัฐบาลคาดหมายรายได้จะเพิ่มขึ้น 1.2 – 3.9 หมื่นล้านบาทต่อปี เบื้องต้นมองหุ้นในกลุ่มสนามบิน (AOT) สายการบิน (AAV BA) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB)จะรับปัจจัยบวกจาก Entertainment Complex ในขณะเดียวกันที่ประชุมรัฐบาลก็ได้เพิ่มการดูแลตลาดทุนด้วยการ (1) เพิ่มประสิทธิภารตรวจสอบธุรกรรม Short (2) ยกระดับการทำหน้าที่ของผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน และยังมีมาตรการอื่นๆแต่ก็เป็นเพียงมาตรการที่ไม่มีผลต่อปัจจัยพื้นฐาน (รายได้ / กำไร) ดังนั้นจึงมองผลกระทบต่อดัชนีจำกัด นอกจากนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายังได้เปิดเผยว่าจะเตรียมนำโครงการเราไปเที่ยวด้วยกันกลับมากระตุ้นการท่องเที่ยวอีกครั้งซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 1 ล้านสิทธิ (ให้สิทธิ 3 พันบาท / คืน) เมืองหลักรัฐบาลจ่าย 40% แต่เมืองรองช่วยจ่าย 50% และส่วนของกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนนั้นได้มีการติดต่อ Influencer ให้ช่วยกระจายข่าว / โปรโมชั่นต่างๆ เพื่อจะสื่อสารไปให้ถึงคนจีนโดยตรง แม้ยังไม่น่าจะเห็นผลโดยเร็วแต่ก็ประเมินกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีกจะได้ประโยชน์ วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1180 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัวในหุ้นที่มีความเป็นผู้นำอุตสาหกรรม มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าและผู้ส่งวัตถุดิบสูง อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) โรงพยาบาล (BDMS) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ส่งออก (ITC TU)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จาก 1) ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% YoY) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ (+11% YoY) 2) จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts YoY) และ 3) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 172.00 บาท)
แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยลดลงส่งผลให้ NIM อ่อนตัวลง และทำให้กำไรสุทธิใรปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัว เรามองว่า BBL มีงบดุลแข็งแกร่ง และ Valuation ที่ไม่แพงซื้อขายที่ 0.5x PBV’25E หากเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ราว 5.8% ในปี 2025 แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 1Q25 เราคาดกำไรสุทธิที่ 11.8 พันล้านบาท (+12% YoY, +13% QoQ)
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon