CGSI : Trend Spotter

36

มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงร่วงลงปิดลบ โดยดัชนี DJIA ลดลงมากว่า 4,500 จุดในช่วง 4 วันที่ผ่านมา ขณะที่ S&P500 ลดลงต่ำกว่าระดับ 5,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ใกล้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี และ ดัชนี CBOE VIX พุ่งขึ้นกว่า 11.4% ปิดทำนิวไฮนับตั้งแต่ มี.ค. 2020 จากความกังวลเกี่ยวกับการกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้รอบใหม่ของปธน. ทรัมป์ที่จะมีผลบังคับใช้ 9 เม.ย. และ ภาษีกับสินค้าจีนสูงถึง 104% แม้ว่าในช่วงแรกที่ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดจะมีแรงสนับสนุนจากสัญญาณว่าทางสหรัฐเปิดกว้างให้กับการเจรจาลดภาษีกับคู่ค้าทางการค้าที่สำคัญก็ตาม

ผลกระทบจากสงครามการค้าโดยเฉพาะจีน-สหรัฐ ยังกดดันให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงต่อเนื่อง (Brent -2.2%) จากความกังวลว่าอาจจะกระทบให้อุปสงค์น้ำมันอ่อนตัว ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างราคาทองคำ +0.6%

จับตารายงานการประชุม FOMC และข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐพรุ่งนี้ (9 เม.ย.) เพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐและการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของ Fed ท่ามกลางความกังวลว่านโยบายการค้าของทรัมป์อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงติดตามรายงานผลประกอบการ 1Q25 บจ. สหรัฐ ที่จะเริ่มขึ้นโดยกลุ่มแบงก์ศุกร์นี้ (11 เม.ย.)

• SET Index : เราคาดว่า SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideway down บริเวณ 1,050-1,080 จุด จากแรงกดดันของมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้วันนี้เป็นวันแรก และติดตามการตอบโต้กลับของจีน

ขณะที่ยังคงขาดปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศใหม่เข้ามา หลังการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex ได้มีการเลื่อนออกไปพิจารณาในการประชุมสภาฯ สมัยหน้าเพื่อให้การประชุมสภาฯ วันนี้ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับวาระสำคัญอื่นอย่างสถานการณ์แผ่นดินไหว และการแก้ปัญหาการขึ้นภาษีของสหรัฐ

แม้รัฐบาลจะยังไม่มีกำหนดวันเดินทางไปเจรจาสหรัฐ แต่ได้มีการเตรียม 5 ประเด็นไปหารือ ได้แก่
1) การหาโอกาสนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งเรามองว่าจะเป็นประโยชน์กับหุ้นอย่าง CPF อย่างไรก็ตาม เรามองว่ารัฐบาลจะต้องพิจารณาถึงการปกป้องผลประโยชน์เกษตรกรในประเทศด้วยเช่นกัน

2) การผ่อนคลายการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 3) การลดขั้นตอน NTBs
4) การตรวจสอบคัดกรองสินค้าป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีของสหรัฐจากประเทศอื่น และ 5) การหาโอกาสการลงทุนในสหรัฐ

เราคงคำแนะนำหุ้น Domestic Play
1) กลุ่ม Defensive อย่างโรงพยาบาล (BH, PR9) ที่พื้นฐานยังคงแข็งแกร่งและราคาสะท้อนปัจจัยลบส่วนใหญ่ไปแล้ว
2) กลุ่มโทรคมนาคม (ADVANC)
3) กลุ่ม Food (BJC) ที่ Outlook ยังคงสดใส
4) กลุ่มธนาคาร (SCB, KTB, TISCO) ที่ High dividend yield นอกจากนี้ เรามองว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรถยนต์และค้าปลีกสูงจะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มธนาคารเพื่อองค์กร หลังยอดจองซื้อรถยนต์งาน Motor show 2025 เพิ่มขึ้น 45% yoy และ
5) กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC) จากแนวโน้มที่ธปท. จะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

ขณะที่หลีกเลี่ยง
1) หุ้นกลุ่มส่งออกที่มีสัดส่วนไปยังสหรัฐสูงอย่างกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (ทั้งนี้ เรามองว่า Hana เป็นหุ้นปลอดภัยเพราะสถานะเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่งจะช่วยป้องกัน downside) และกลุ่มส่งออกอาหาร (ITC, TU)
2) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจากการลุงทุนต่างชาติที่ชะลอตัว
3) กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจากอุปสงค์น้ำมันและเคมีภัณฑ์ที่อ่อนตัว
4) กลุ่ม Discretionary ที่อาจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง และ
5) กลุ่มโรงไฟฟ้าหลังครม. มีมติลดค่าไฟ

• หุ้นแนะนำ
GULF : เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงได้สะท้อนถึงมูลค่าธุรกิจโรงไฟฟ้าและการถือหุ้นใน ADVANC แล้ว โดยเรามองว่า GULF ยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและศักยภาพเติบโตในระยะยาว

(Take profit : 42.00 / Stop loss : 38.75)

BEM : เรามองว่าเราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนถึงมูลค่าธุรกิจทางด่วนแล้ว ซึ่งยังไม่ได้รวมในส่วนของ MRT และโปรเจคใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง

(Take profit : 5.55 / Stop loss : 5.00)

#MacroWealthResearch
#CGSInternational
#CGSI

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon