มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงกลับลงมาอีกครั้ง (ดัชนี DJIA -2.5%, S&P500 -3.5%, Nasdaq -4.3%) แม้ว่าการที่ปธน. ทรัมป์ประกาศเลื่อนเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้จะช่วยให้ตลาดหุ้นสหรัฐรีบาวด์แข็งแกร่งวานนี้ (10 เม.ย.) และส่งผลให้ EU ชะลอการใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐออกไป 90 วันเช่นกัน ซึ่งเป็น Sentiment บวกให้ดัชนี STOXX600 (+3.7%) ปิดทำนิวไฮในรอบ 3 ปี อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงกังวล (ดัชนี VIX +21.1%) ต่อการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกจากผลกระทบสงครามการค้า โดยเฉพาะกับจีนหลังทำเนียบขาวเผยว่าอัตราภาษีรวมที่จะเก็บจากจีนอยู่ที่ 145% (เดิม 20% และภาษีใหม่ 125%) กอปรกับข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐเดือนมี.ค. ที่เติบโตลดลง
โดย ดัชนี CPI ขยายตัว 2.4% yoy ต่ำกว่าตลาดคาด +2.5% (vs. เดือนก.พ. +2.8%) และ Core CPI ขยายตัว 2.8% yoy ต่ำกว่าตลาดคาด 3.0% (vs. เดือนก.พ. +3.1%) ส่งผลให้ตลาดกังวลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ยังคงไม่ชัดเจนว่าจะให้น้ำหนักกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหรือผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์อย่างไร
ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ยังส่งผลให้แนวโน้มอุปสงค์น้ำมันลดลง กดดันให้ราคาน้ำมันดิบ WTI -3.7% และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างราคาทองคำ COMEX +3.2%
• SET Index : เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัวพักฐานบริเวณ 1,120-1,150 จุด หลังปรับตัวขึ้นมาแรงเมื่อวานนี้ (+4.6%)
ทั้งนี้ เรามองว่าโดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของทรัมป์ที่มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะกับจีนที่มีการออกมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กันและกันในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่อง แม้ว่าทรัมป์จะผ่อนปรนมาตรการนี้ลงให้กับ 75 ประเทศคู่ค้าอื่นที่ไม่ตอบโต้สหรัฐด้วยการเรียกเก็บเพียง Baseline Tariffs 10% และชะลอ Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน ก็ตาม
ระวังแรงขายทำกำไรจากการที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง รวมถึงอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงก่อนตลาดหุ้นไทยปิดทำการช่วงเทศกาลสงกรานต์ (14-15 เม.ย.) ท่ามกลางสภาวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนจากนโยบายการค้า
ขณะที่มาตรการรองรับความผันผวนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากนโยบายการค้าสหรัฐอย่างการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และห้ามขายชอร์ตชั่วคราว จะมีผลบังคับใช้สิ้นสุดในวันนี้
นอกจากนี้ ความคืบหน้าล่าสุดโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ได้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ โดยรัฐจะจ่ายให้ 50% เที่ยวได้ 10 วัน 10 คืน สำหรับการใช้สิทธิเที่ยวในวันธรรมดา โดยจะเน้นไปที่เมืองรอง 55 จังหวัด
ติดตามรายงานผลประกอบการ 1Q25 บจ. ไทยที่จะเริ่มด้วยกลุ่มแบงก์สัปดาห์หน้า (TISCO 17 เม.ย.) โดยเราคาดว่าธนาคารไทย 8 แห่งที่ทำการศึกษาจะมีกำไรสุทธิใน 1Q25 อ่อนตัว เพราะอัตราการสำรองหนี้สูญสูงขึ้นเผื่อกรณีฉุกเฉินสำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว แม้ว่ามาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอาจส่งผลให้สินเชื่อเติบโตสูงขึ้น แต่อัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงใน 2Q-3Q25
เราเลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick เพราะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่น่าสนใจ แม้ว่ายอดสินเชื่อของอุตสาหกรรมโดยรวมจะเติบโตชะลอตัว ทั้งนี้ SCB และ KTB จะขึ้น XD วันที่ 16 เม.ย. ขณะที่ KBANK, KTC ขึ้น XD 17 เม.ย.
• หุ้นแนะนำ
KBANK :
ณ สิ้น 4Q24 KBANK มีสัดส่วนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 17.4%, สินเชื่อรถ 5.9%, สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 6.3% ขณะที่เราคาดว่าธนาคารจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 7.5% qoq
(Take profit : 155.0 / Stop loss : 150.0)
BDMS :
เราแนะนำหุ้นกลุ่ม Defensive ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญความผันผวนจากนโยบายการค้า โดยเรามองว่า BDMS ยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและราคาหุ้นมี Downside ที่จำกัด
(Take profit : 23.9 / Stop loss : 22.9)
#Macro&WealthResearch
#CGSInternational
#CGSI
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon