มิติหุ้น-เปิดปูม “ทราย สก๊อต” ทายาทรุ่นใหม่สิงห์ ความเคลื่อนไหวกับหมวกนักอนุรักษ์โลกใต้ท้องทะเล สัมพันธ์อย่างไร กับกลยุทธ์ ธุรกิจสิงห์ เอสเตท
ชื่อของ “ทราย สก๊อต” หรือ “สิรณัฐ สก๊อต” อายุ 26 ปี ถูกยกย่องในโลกโซเชียลในฐานะคนรุ่นใหม่ที่มีหัวใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยิ่งชาติกำเนิดเป็นทายาทของธุรกิจใหญ่แนวหน้าของเมืองไทย เพราะเป็นหลานชายคนเล็กของ คุณจำนงค์ ภิรมย์ภักดี (มีศักดิ์เป็นตา) ประธานกรรมการบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เจ้าของแบรนด์สิงห์ นั่นยิ่งทำให้เขาใได้รับความสนใจ ถูกค้นหาประวัติ และติดตามรอยภารกิจของการปกป้องทะเลไทย เพื่อสร้างความยั่งยืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ก่อนที่ทรายจะก้าวมาเป็นผู้นำและทำงานด้านการอนุรักษ์ทะเล จนมีเรื่องราวดราม่า กระทั่งมีข่าวของการถูกปลดออกจากตำแหน่ง ในการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
มือวางกลยุทธ์ สิงห์ เอสเตท
ทราย สมัยเด็กเริ่มเรียนที่โรงเรียนอนุบาลเธียรประสิทธิศาสตร์ จากนั้นไปเรียนที่โรงเรียนบางกอกพัฒนา ก่อนจะไปเรียนปริญญาตรีทางด้านอนิเมชั่น ที่ California Institute of the Arts ปัจจุบันทำงานในตำแหน่ง Assistant Manager, PR and Marketing Strategic Planning ของบริษัท Singha Estate Public Company Limited (บมจ. สิงห์ เอสเตท จำกัด หรือ S )
กิจกรรมที่ผ่านมา “ทราย “ได้ร่วมพัฒนาโครงการด้านการอนุรักษ์ท้องทะเลไทยหลายด้าน อาทิ Sea You Strong การร่วมมือกันกับชุมชนท้องถิ่นฟื้นฟูอนุท้องทะเลในภาคใต้ เขายังเป็นคนทำคอนเทนท์ตัวยงที่บอกเล่าเรื่องเล่าเรื่องราว สอดแทรกองค์ความรู้ผ่านภาพยนตร์อย่างมีศิลปะเพื่อรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่ และคนทั่วไปหันมาสนใจปัญหาทรัพยากรในท้องทะเล เช่น หนังสั้นเรื่อง Merman – Ocean Pollution Film ถ่ายทอดถึงปัญหาขยะทะเลเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและปลุกจิตสำนึกของให้คนรุ่นใหม่ให้หันมาใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม
87.5 ล้านล้านบาท เศรษฐกิจสีน้ำเงิน จากท้องทะเลโลก
ทรายเป็นเสมือน “แบรนด์ แอมบาสซาเดอร์” (Brand Ambassador) ให้กับสิงห์ เอสเตท ที่ชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนอย่างเข้มข้นขึ้น กับมุ่งเน้นด้านการสร้าง” ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ” ที่ผนวกการทำ ESG (สมดุล สิ่งแวดล้อม สังคม และสิ่งแวดล้อม เข้าอยู่ในกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจ จะต้องสร้างคุณค่า นำไปสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสิ่งแวดล้อม จึงเกิดมูลค่าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ในหลากหลายในห่วงโซ่ธุรกิจ อาทิ อาหาร ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ที่โดยรวมความหลากหลายในมหาสมุทรโลก เรียกว่า เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ทาง WWF (กองทุนสัตว์ป่าโลก) องค์กรเพื่อการอนุรักษ์ได้ระบุถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 87.5 ล้านล้านบาท) การปล่อยให้ทรัพยากรที่เสื่อมถอย จึงหมายถึงอนาคตห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจที่สั่นคลอนตามไปด้วย
นั่นทำให้ “สิงห์ เอสเตท” ได้ประกาศเป้าหมาย เพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพขึ้น 30% ภายในปี 2030 ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การปลูกป่าต้นน้ำที่สิงห์ ปาร์ค เชียงราย และการปกป้องความหลากหลายทางทะเลในโครงการ Crossroads มัลดีฟส์
ทำไมฺ Biodiversity จึงทำให้ สิงห์ เอสเตท เป็นโรงแรมที่แตกต่าง
สิงห์ เอสเตท ได้นำแนวคิดความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) มาผสานเข้ากับธุรกิจโรงแรมเพื่อสร้างความยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวและสร้างผลกำไรในหลายมิติ
- การอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม มีการพัฒนาโครงการต่าง ๆ เช่น การอนุรักษ์ปะการังและสัตว์ทะเลในโครงการ Crossroads มัลดีฟส์ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโรงแรมในฐานะผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
- การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง โรงแรมในเครือของสิงห์ เอสเตท เช่น SHR ได้พัฒนากิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ เช่น Nature Trails และการปลูกป่า ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจและสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้เข้าพัก
- ช่วยในการเพิ่มอัตราการเข้าพักและรายได้ กิจกรรมที่สะท้อนถึงกลยุทธ์ความยั่งยืนและการอนุรักษ์ จะแปลงคุณค่าสู่มูลค่า เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ปัจจุบันใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม สนับสนุนธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกให้กับโลก ทำให้ราคาเข้าพักเฉลี่ยและรายได้ต่อห้องพัก (ADR) เติบโตขึ้น
- การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ การลงทุนเพียงครั้งเดียวเช่น การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงแรม ช่วยลดต้นทุนการใช้พลังงาน และอื่นๆ ได้ช่วยเพิ่มผลกำไรในระยะยาว
- การผสาน Biodiversity เข้ากับธุรกิจโรงแรมไม่เพียงแต่ช่วยสร้างผลกำไร แต่ยังสร้างความยั่งยืนไปสู่ชุมชนรอบข้าง ที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในระยะยาว เป็นการเกื้อหนุน สร้างสัมพันธ์ที่ดี กับนิเวศรอบธุรกิจ ที่อยู่ร่วมกันอย่างสมดุล เติบโตด้วยกันอย่างยั่งยืน
จุดขาย “ประสบการณ์” เชื่อม “ธรรมชาติ”
โดยโรงแรมในเครือของสิงห์ เอสเตท ที่ชูการการเข้าพักควบคู่กับประสบการณ์เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ประกอบด้วย Crossroads Maldives มีการพัฒนาโครงการที่มีพื้นที่ปกป้องความหลากหลายทางทะเลกว่า 2,400,000 ตารางเมตร พร้อมกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ เช่น ศูนย์การเรียนรู้ทางทะเลและการขยายพันธุ์ปะการัง ถือเป็นโครงการที่มีคุณค่าและมูลค่าที่สร้างกำไรให้กับในเครือได้สูงขึ้น, ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ โรงแรมที่ตั้งอยู่บนเกาะพีพี มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทะเล, ทราย ลากูน่า ภูเก็ตโรงแรมที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
โรงแรมในเครือของสิง เอสเตท ที่ใช้ทรัพยากรทางท้องทะเล ในปัจจุบันไม่ได้เพียงการชูเรื่อง ความหรูหราสะดวกสบาย แต่มีจุดขายด้านความยั่งยืนผ่านการสร้างประสบการณ์ และความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ สร้างการจดจำให้กับผู้เข้าพักในทุกมิติ ที่แตกต่าง ประกอบด้วย ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ โดยห้องพักที่ออกแบบให้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ เช่น วิลล่าที่มองเห็นวิวทะเลและปะการัง ช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าพัก มีการชูมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล Green Globe เกณฑ์มาตรฐานสูงสุดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในยุคที่สังคมเมือง เต็มไปด้วยความรีบเร่ง คนขาดสมดุลชีวิต คร่ำเคร่งกับงาน การได้สัมผัสธรรมชาติ จึงเป็นความยั่งยืนที่ดึงร่างกาย มนุษย์ได้กลับมาฮีลใจ อยู่ในความสงบ โดยมีธรรมชาติช่วยฟื้นฟูร่างกายจิตใจ กลับคืนสู่สมดุล เมื่อร่างกายกลับมาแข็งแรง กายและใจไปด้วยกัน ก็พร้อมเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างยั่งยืน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon