มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องในวัน Good Friday โดย DJIA (-2.66% wow), S&P500 (-1.5% wow) และ Nasdaq (-2.62% wow)
ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ในช่วงเช้านี้ยังคงสะท้อนภาพนักลงทุนที่ยังกังวลมาตรการของ Donald Trump ที่ยังไม่แน่นอนและอาจนำไปสู่การทำสงครามการค้ากับประเภทต่างๆ โดยเฉพาะจีน
ซึ่ง ล่าสุดประเทศจีนพร้อมเจรจาประเด็นการค้า หากสหรัฐฯ ยอมทำตาม 3 เงื่อนไข
1) แสดงออกถึงความเคารพ
2) นโยบายการค้าที่แน่นอน และ
3) ประเด็นความมั่นคงอย่างไต้หวัน และมาตรการคว่ำบาตร
สำหรับสัญญาทองคำ COMEX (-0.54% dod, +2.58% wow) แม้จะได้แรงหนุนรายสัปดาห์จาก fund flow ที่ยังไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย และ การอ่อนค่าของ US dollar index แต่ท้ายสัปดาห์มีแรงเทขายหลังจาก Donald Trump ได้พบปะกับคณะผู้แทนญี่ปุ่นเกี่ยวกับภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม ภายหลังการพบปะ ญี่ปุ่นยังคงโดนภาษีพื้นฐาน 10% และ จะมีการเจรจารอบสอง สิ้นเดือนนี้
ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกในวันพฤหัสฯที่ผ่านมา (+2.47% dod, +4.08% wow) ได้แรงบวกมุมมอง supply ตลาดโลกจะตึงตัว หลังจากมาตรการคว่ำบัตรสหรัฐที่มุ่งเป้าไปยังการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน
• SET Index : เราคาดว่า SET Index สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหว Sideway-Sideway up ในกรอบบริเวณ 1,150-1185 ท่ามกลางสงครามการค้าที่ไม่แน่นอนได้สะท้อนในราคาหุ้นพอสมควร ดังนั้น เราเชื่อว่าภาพระยะกลาง การยกเว้นภาษีตอบโต้ 90 วัน และ แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) 25bp ในมุมของเราจะยังเป็นปัจจัยที่ช่วยคลายความกังวล รอผลการเจรจาระหว่างทีมไทยแลนด์และสหรัฐ วันที่ 23 เม.ย. นี้
สำหรับสัปดาห์นี้ติดตาม
1) ผลประกอบการ 1Q25 (KKP, SCB วันจันทร์), BH (วันพฤหัสฯ) และ PTTEP (วันศุกร์)
2) ดัชนี PMI ล่วงสหรัฐเดือน เม.ย. (วันพุธ), ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (วันพฤหัสฯ) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน เม.ย. (วันศุกร์), ตัวเลขส่งออก-นำเข้า (Custom) ไทย ตลาดคาดจะประกาศภายในสัปดาห์นี้
3) รายงานผลประกอบการกลุ่ม Magnificent 7 อย่าง Tesla (พรุ่งนี้) และ Google (พฤหัสฯ) ที่จะกระทบตลาดได้
สำหรับผลประกอบการกลุ่ม Bank และ Non-bank ใน 1Q25 โดยภาพรวม NIM ลดลงจากการลดอัตราดอกเบี้ย และสินเชื่อที่เติบโตช้า ดังนี้
TTB มีกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท (-4.5% yoy, -0.3% qoq) มากกว่าเราคาด 23% จากค่าใช้จ่ายตั้งสำรองน้อยกว่าคาด โดยการเติบโตของสินเชื่อ -7.4% yoy และ -2.4% qoq ถูกกดดันจากสินเชื่อรถยนต์ (-2.2% qoq), สินเชื่อองค์กร (-3.8% qoq) และสินเชื่อ SME (-3.1% qoq) เนื่องจากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นตั้งแต่ 2023
KTC มีกำไรสุทธิ 1.86 พันล้านบาท (+3.2% yoy, -2.8% qoq) เป็นไปตามที่เราคาด โดยการลดลง qoq มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง ทั้งนี้สินเชื่อ KTC มีการเติบโตที่ช้า (+1.7% yoy) มาจากสินเชื่อ credit card (+1.5% yoy) และสินเชื่อส่วนบุคคล (+5.2% yoy)
KTB มีกำไรสุทธิ 1.17 หมื่นล้านบาท (+0.3% yoy, +6.6% qoq) มากกว่าเรา/ Bloomberg consensus คาดไว้ที่ 7.2%/ 8.5% ปัจจัยบวกจากการเติบโตรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย, ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยน้อยกว่าคาดโดยสินเชื่อ KTB มีการเติบโตช้า (+1.7% yoy, -1.3% qoq ใน 1Q25
• หุ้นแนะนำ
CPALL:
เราเชื่อว่า CPALL จะมีกำไรปกติแข็งแกร่ง 6.9 พันล้านบาท (+14.5% yoy) ใน 1Q25 ได้แรงหนุนจากมาร์จิ้นที่ขยายตัว ซึ่งมาจากยอดขายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทานที่เพิ่มขึ้น เราคาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะเพิ่มขึ้น +3% yoy สำหรับ 7-Eleven จากยอดซื้อต่อบิลและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นใน 1Q25
(Take profit: 51.50 / Stop loss: 49.00)
GULF:
ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายธุรกิจ มีกำลังการผลิตที่มั่นคง โดย 74% มาจากโรงไฟฟ้า IPP ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าไฟน้อยกว่า และความเสี่ยงต่ำโดยประมาณการกำไรสุทธิจะเติบโตด้วยเลขสองหลัก สำหรับ FY25-27F
(Take profit: 49.00 / Stop loss: 46.00)
#MacroWealthResearch
#CGSInternational
#CGSI
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon