Pi Daily คลังสหรัฐฯระบุเจรจาการค้ากับจีนใช้เวลาหลายปี และยังไม่มีแนวคิดลดภาษีให้จีน กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯลดช่วงบวก

17

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 419 จุด (+1%) นักลงทุนคาดหวังถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ พร้อมกับย้ำว่าไม่มีแนวคิดจะปลดประธาน FED ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2.2% หลังมีรายงานว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันกำลังพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิต

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานดัชนี PMI ภาคบริการและผลิต (เบื้องต้น) ภาคผลิตนั้นอยู่ที่ระดับ 50.7 ดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 49 ส่วนภาคบริการอยู่ที่ 51.4 ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 52.8 พร้อมกับยอดขายบ้านใหม่ที่ 7.24 แสนหลังคาเรือนดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดที่ 6.84 แสนหลังคาเรือน โดยรวมสะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีแต่ก็ยังวางใจมิได้มากนัก โดยช่วงแรกตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง (S&P500 +3% ณ จุดสูงสุดก่อนจะลงมาเหลือเพียง +1.07%) เพราะมีรายงานว่าทำเนียบขาวระบุอัตราภาษีที่เรียกกับจากจีน 145% ถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งอาจจะลดลงต่ำกว่าระดับดังกล่าวแต่คงไม่ถึงระดับ 0% แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯได้ออกมาระบุว่าสหรัฐฯไม่มีแผนลดภาษีให้จีน ปัจจุบันกำลังพิจารณาหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับจีนนอกเหนือจากภาษีนำเข้าและยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนพร้อมเชื่อว่าสมดุลการค้าทั้งหมดอาจใช้ระยะเวลาถึง 3 ปี ทำให้ราคาทองคำจากที่ถูกแรงขายมาต่อเนื่องเริ่มมีแรงซื้อกลับมา สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนที่เริ่มมากขึ้นตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาอาจเริ่มมี Upside ระยะสั้นที่เริ่มจำกัด จากนี้รอติดตามพัฒนาการของสงครามการค้า

ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย (+0.85%) แต่ยังคงเห็นการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ (-2.8 พันล้านบาท) ส่วนสถาบันซื้อ 2.3 พันล้านบาท เมื่อประกอบกับข่าวการค้าที่ผันผวนไปมาทำให้การเคลื่อนไหวด้านบนอาจเริ่มจำกัดและนักลงทุนหันมาให้น้ำหนักกับผลประกอบการ 1Q25 ที่จะทยอยรายงานออกมา สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ประกาศครบแล้วพบว่าส่วนใหญ่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมิได้ขยายตัวตามสินเชื่อปล่อยที่หดตัว บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างซึมตัว และสอดคล้องกับที่หลายๆสำนักคาดการณ์กันว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับเพียง 1.5 – 1.8% ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 4.14 ล้านหลังคาเรือนและผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.2 แสนราย วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1140 – 1165 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้นอาจเลือกแบ่งทำกำไรหลังดัชนีสะท้อนปัจจัยบวกไปแล้ว และราคาทองคำที่ทยอยฟื้นตัวมาอาจสะท้อนว่านักลงทุนเริ่มกลับมากังวล แต่อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนระยะกลางขึ้นไปอาจเลือกสะสมได้เช่นเดิมแต่เน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) การเงิน (MTC TIDLOR) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) โรงพยาบาล (BDMS)

BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 160.00 บาท)
ธนาคารมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 แข็งแกร่ง ที่ 16.5% (ยังไม่รวมกำไรใน 2H24) สามารถจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นได้เท่ากับในปี 2024 ที่ 8.50 บาทได้ หากกำไรปรับลดลงในปี 2025 อย่างไรก็ดี ไม่มีนโยบายการซื้อหุ้นคืน และไม่ได้ตัดโอกาสในการซื้อหุ้นคืน

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon