Pi Daily ส่งออกไทยขยายตัวเด่นแต่ระวังว่าอาจเป็นเพียงชั่วคราว หุ้นสหรัฐฯดีดตัวแต่เป็นแรงจาก Tech ภาพรวมยังมีแรงกดดันจากการค้าโลกที่ปั่นป่วน ยังเชื่อ Upside จำกัด

11

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 1.2% ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ขานรับความแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่ม Technology ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.65% ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของ Dollar Index แต่อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าเป็นไปได้ที่ OPEC+ จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เป็นปัจจัยกดดันระหว่างวัน

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วยผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.2 แสนราย (เป็นไปตามที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์) แต่รายงานยอดขายบ้านมือสองที่ 4.02 ล้านหลังคาเรือน (ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดที่ 4.14 ล้านหลังคาเรือน) ภายหลังจากทราบปัจจัยข้างต้นพบว่า US Bond Yield ค่อนข้างนิ่งๆ Dollar Index อ่อนค่า และราคาทองคำปรับขึ้นพร้อมกับตลาดหุ้น สะท้อนถึงความสับสนของนักลงทุนที่ยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกทิศทางใดด้านปัจจัยในประเทศเมื่อวานที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกประจำเดือน มี.ค. ขยายตัวมากถึง 18%YoY สูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 12%YoY กระทรวงพาณิชย์ระบุว่าประเทศคู่ค้ามีการเร่งตัวด้านผลิต สะท้อนผ่านดัชนี PMI ที่ปรับสูงขึ้นท่ามกลางความพยายามในการรับมือกับความเสี่ยงปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้มีการเร่งนำเข้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานในภาคผลิตและบรรเทาการเพิ่มขึ้นของต้นทุนและราคาสินค้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยสินค้าที่ขยายตัวเด่นได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (+80%YoY) ยางพารา (+19%YoY) แผงวงจรไฟฟ้า (+41%YoY) เครื่องปรับอากาศ (+19%YoY) อาหารสัตว์เลี้ยง (+12%YoY) ประเมินเป็นบวกกับหุ้น HANA DELTA ITC TU แต่อย่างไรก็ตามให้ระมัดระวังว่าการส่งออกที่ดีจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออกและหลังจากนั้นอดหดตัว / ชะลอตัว จากสินค้าคงคลังที่สูงซึ่งจะกลับมากดดันเศรษฐกิจในประเทศช่วงถัดไป สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้กลับมาปิดลบ (-0.6%) และนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 2.09 พันล้านบาท

โดยที่นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1.9 พันล้านบาท ยังคงเป็นลักษณะเคลื่อนไหวในกรอบและไม่มีทิศทางชัดเจน เชื่อว่าภาวะเช่นนี้จะยังคงดำเนินต่อไปเพราะไม่มีปัจจัยบวกใดๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าประกอบกับปัจจัยพื้นฐานภายในไม่แข็งแรง ทั้งเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยคืนนี้รอติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 50.6 พร้อมกับคาดการณ์เงินเฟ้ออนาคต วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1135 – 1160 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางภาวะที่ไร้ปัจจัยหนุนและดัชนีปรับขึ้นมา แต่ระยะถัดไปมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถูกปรับลงและการค้าโลกที่ปั่นป่วนกดดันห่วงโซ่อุปทาน จึงแนะนักลงทุนระยะสั้นลดความเสี่ยงด้วยการทำกำไร แต่หากเป็นนักลงทุนระยะกลาง – ยาว ยังแนะสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB)

ITC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท)
ปัจจัยบวกในระยะยาวที่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตได้ อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยลบระยะสั้นอย่างผลประกอบการงวด 1Q25 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดลงกว่า 15%YoY จากผลกระทบของรายได้ที่ต่ำกว่าคาดและค่าใช้จ่ายที่ปรึกษากับภาษีที่ปรับเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯจากมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ โดยประเด็นนี้ทาง ITC แจ้งว่าต้องรอดูการปรับภาษีว่าจะขึ้นทุกประเทศหรือไม่หากขึ้นทุก ประเทศจะไม่กระทบมากนัก ทั้งนี้ทางผู้บริหารยังคงเป้าการเติบโตทั้งปีไว้ที่ 13-15% ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากตัวเลขส่งออก

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon