มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 114 จุด (+0.28%) อย่างไรก็ตามการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน ขณะที่นักลงทุนกำลังจับตารอดูการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนรวมถึงผลประกอบการ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.5% เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
เมื่อคืนที่ผ่านมามิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯและโลกที่สำคัญ โดยนักลงทุนรอติดตามพัฒนาการสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ ล่าสุดรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯระบุว่าตนเชื่อว่าจีนจะเป็นผู้ผ่อนคลายสถานการณ์ครั้งนี้เพราะพวกเขา (จีน) ขายสินค้าให้เรามากกว่าที่เราขายถึง 5x และมีรายงานว่าทรัมป์กล่าวว่าประธานาธิบดีจีนได้โทรหาตน แต่ไม่ว่าจะเกิดปัจจัยใดๆก็ตามให้ดูที่การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เป็นหลัก โดยพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลงค่อนข้างหนักในอายุ 2 ปีและ 10 ปีก็ปรับลงหนักเช่นกัน ขณะที่ค่าเงิน Dollar Index อ่อนค่าแรงและเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่า ด้านราคาทองคำเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาต่อเนื่องยืนเหนือระดับ 3300 สะท้อนว่านักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนเม็ดเงินจึงไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยน่าจะยังไปไหนมิได้ไกลมากนัก คืนนี้รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ค่อนข้างมีผลต่อการลงทุนได้แก่ (1) ตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน (Job Opening) Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 7.49 ล้านตำแหน่ง (ลดลงจากเดือนก่อนที่ 7.57 ล้านตำแหน่ง) (2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากสถาบัน CB Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 87.7 ลดลงจากเดือนก่อนที่ 92.9 จะเห็นว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แล้วคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯย่ำแย่ลง
ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ตลาดหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย (+0.05%) แทบไม่เปลี่ยนแปลงพร้อมกับมูลค่าการซื้อขายเบาบางที่ 2.8 หมื่นล้านบาทสะท้อนถึงความมั่นใจต่อการลงทุนที่ลดลงอาจเป็นเพราะยังไร้ปัจจัยใหม่ๆประกอบกับเผชิญแรงกดดันจากธนาคารโลก (World Bank) ออกมาปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือเพียง 1.6%YoY ลดลงจากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 2.9%YoY โดยระบุสาเหตุว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติก็ยังคงขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง (YTD) สะสมขายสุทธิ 5.8 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ปัจจัยด้านผลประกอบการก็ไม่ค่อยสดใสเท่าใดนักอย่างวานนี้ GLOBAL รายงานกำไรสุทธิ (-14%YoY) และเช้านี้ HMPRO รายงานกำไรสุทธิทรงตัวเทียบกับปีก่อน สอดคล้องกับ ITC (-17%YoY) และหลังจากนี้อาจเห็นบริษัททยอยรายงานกำไรออกมาที่มิสู้ดีมากนัก จะยิ่งเป็นตัวจำกัด Upside ตลาดหุ้นไทย วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1145 – 1170 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังแนะลดพอร์ตการลงทุนเพราะดัชนีสะท้อนปัจจัยหนุนการเจรจาการค้าไปบ้างแล้ว แต่ปัจจัยพื้นฐานถือว่าอ่อนแอจากการปรับลดเศรษฐกิจและอาจตามมาด้วยปรับลดกำไรบริษัทจดทะเบียน ส่วนนักลงทุนระยะกลาง – ยาว รอจังหวะสะสมในช่วงปรับฐาน ส่วนนักลงทุนระยะสั้นรับความเสี่ยงสูงอาจเลือกเก็งกำไร หุ้นที่ได้ปัจจัยหนุนจากดอกเบี้ยที่อาจปรับลง อาทิ การเงิน (MTC TIDLOR) อสังหาฯ (AP SPALI) ค้าปลีก (BJC CPALL)
AP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท)
AP มีแผนการเปิดโครงการใหม่สูงถึง 6.5 หมื่นล้านบาท (+35% YoY) โดยแบ่งเป็นแนวราบ 36 โครงการ (4.5 หมื่นล้านบาท) และคอนโด 6 โครงการ (2 หมื่นล้านบาท) ซึ่งทางผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายปี 2025 ไว้ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท และยอดโอน 5.3 หมื่นล้านบาท โดยคาดจะได้รับแรงหนุนจาก 1) โครงการเปิดใหม่ที่สูง โดยเฉพาะสัดส่วนโครงการคอนโดที่เพิ่มขึ้น 2) กำหนดการโอน Aspire 4 โครงการมูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท และ 3) แนวโน้มยอดขายตั้งแต่ต้นปี 2025 ที่เติบโตดีทั้งในแนวราบและคอนโด (+48% YoY)
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon